นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถา เรื่อง รัฐบาลกับการนำประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยระบุว่า รัฐบาลได้ตระหนักดีถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะปัญหาการนำเข้าวัตถุดิบและโครงสร้างอัตราภาษี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ดีเท่าทีควร
ดังนั้นขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณายกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ แต่ผู้ประกอบการจะยังเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายแบบเหมาเพียง 1% ของยอดนำเข้าวัตถุดิบ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการ และทำให้ผู้ประกอบการกลับมาสู่ระบบการเสียภาษีมากขึ้น
"แนวทางที่ได้หารือกัน มีข้อสรุปแล้วตอนนี้ โดยกรมสรรพากรจะเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอต่อ ครม.ในการยกเว้น VAT ที่นำเข้าวัตถุดิบ และให้ภาคธุรกิจเสียภาษี หัก ณ ที่จ่ายแบบเหมา 1% " นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอัญมณีของไทยมีความแข็งแกร่ง และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศติดอันดับ 1 ใน 4 ของสินค้าส่งออกไทย โดยปี 51 มีมูลค่าการส่งออก 2.8 แสนล้านบาท คิดเป็น 2% ของตลาดโลก และไทยเป็นผู้ส่งออกอัญมณีอันดับ 14 ของโลก มีแรงงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าว 1.1 ล้านคน
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง เพื่อออกพระราชกฤษฎีกาตามความในประมวลรัษฎากรก่อนจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้ ซึ่งเมื่อการยกเว้นอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบดังกล่าวมีความชัดเจนแล้ว เชื่อว่าจะส่งผลต่อการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเพิ่มขึ้น มีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบเสียภาษีมากขึ้น และยังช่วยให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีในระยะยาวได้มากกว่าการจัดเก็บได้ภายใต้โครงสร้างภาษีเดิม
ที่ผ่านมามีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในการนำเข้าวัตถุดิบซึ่งเป็นภาระต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายภาษีเต็มจำนวนของวัตถุดิบที่ต้องนำเข้า ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้ซื้อวัตถุดิบนั้นทั้งจำนวน ซึ่งเมื่อมีภาระต้นทุนสูงจึงเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการหลบเลี่ยงการเสียภาษีดังกล่าว ผู้ประกอบการจึงเสนอให้รัฐบาลยกเลิกการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้เก็บภาษีเฉพาะวัตถุดิบที่มีการซื้อขายจริงในอัตราเพียง 1% เท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการมากเกินไป
"จะทำให้มีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบการเสียภาษีมากขึ้น และเชื่อว่าเม็ดเงินภาษีที่เก็บได้ในระยะยาวจะสูงกว่าที่สามารถเก็บได้ภายใต้โครงสร้างภาษีเดิม การปรับปรุงโครงสร้างภาษีในครั้งนี้น่าจะส่งผลบวกให้แก่ทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกอบการ แรงงานฝีมือกว่า 1 ล้านคนในอุตสาหกรรมนี้" รมว.คลัง กล่าว
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เชื่อว่า เมื่อรัฐบาลได้ลดปัญหาและอุปสรรคทางด้านภาษีให้แก่ผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยได้แล้ว จะเป็นส่วนช่วยผลักดันการแข่งขันการส่งออกสินค้าในกลุ่มดังกล่าวสามารถขึ้นมายืนเป็นอันดับหนึ่งของสินค้าส่งออกไทยได้ จากปัจจุบันที่การส่งออกอันดับหนึ่งของไทย คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.52) ไทยสามารถส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับได้แล้ว 1.65 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าทั้งปีนี้การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 แสนล้านบาทได้อย่างแน่นอน
ส่วนภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 52 เชื่อว่าทั้งปีคงจะยังติดลบเป็นเลข 2 หลัก แต่เชื่อว่าการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป อันเป็นผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยปีนี้ติดลบน้อยลง
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าการส่งออกของไทยทั้งปี 52 จะติดลบอยู่ในระดับ 15-19%