นายมาซากิ โอกาซะ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เจ เอฟ อี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่แสดงความต้องการจะเข้ามาลงทุนผลิตเหล็กต้นน้ำคุณภาพสูงในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เจ เอฟ อี ได้ยื่นแผนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนให้กับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ในปีที่ผ่านมา โดยได้นำแผนงานที่ใช้ในการดำเนินโครงการเหล็กในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นแผนต้นแบบ
หากบริษัทเจ เอฟ อี สตีล ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงเหล็กต้นน้ำในประเทศไทย บริษัทก็จะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการควบคุมมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน เพราะบริษัท เจ เอฟ อี มีนโยบายที่จะบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนในประเทศไทย ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับที่ดำเนินการในประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ให้เกิดความเจริญมากขึ้น
สำหรับโรงผลิตเหล็กต้นน้ำของ เจเอฟอี ในเมืองชิบะ ได้มีการวางแผนปกป้องสิ่งแวดล้อม ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อทำการวิเคราะห์ปริมาณก๊าซที่ปล่อย ในอากาศ และวิเคราะห์น้ำเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงาน ให้อยู่ภายใต้ค่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งได้จัดทำเป็นตัวเลขทางสถิติ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าตรวจสอบได้ตลอดเวลา โดยในช่วงที่ผ่านมาตัวเลขทางสถิติของปริมาณก๊าซและน้ำมีค่าต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดอยู่มาก แสดงให้เห็นว่า โรงเหล็กต้นน้ำมีการดำเนินงานปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
“โรงเหล็กต้นน้ำของบริษัทตั้งอยู่ในเมืองชิบะที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมาก ทำให้รัฐบาลเข้มงวดในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างมาก จึงมั่นใจว่า หากเจ เอฟ อี ตั้งโรงเหล็กต้นน้ำในเมืองชิบะได้ ก็สามารถตั้งอยู่ในประเทศไทยได้เช่นกัน และเราตั้งใจว่าเราจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในชิบะอย่างไร เราก็จะทำแบบนั้นในเมืองไทยเหมือนกัน" ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เจ เอฟ อี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว
นายมาซากิ โอกาซะ กล่าวว่า หากเจ เอฟ อี สตีล ได้เข้ามาลงทุนในไทย ก็จะให้ความสำคัญกับชุมชนในพื้นที่ก่อสร้างโครงการเป็นพิเศษ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการมีความปลอดภัยและสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้จริง ซึ่งโรงเหล็กต้นน้ำในเมืองชิบะได้พัฒนาความเจริญในท้องถิ่นในหลายๆ ด้าน รวมถึงการจ้างแรงงานจากคนในชุมชน