นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2552 โดยส่วนตัวคาดว่าจะติดลบน้อยลงมากกว่าที่จะพลิกกลับมาเป็นบวก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 2551 ติดลบถึง 4% และคาดว่าปีนี้จีดีพีคาดว่าจะติดลบ 2.5-3.5% แต่ปี 53 น่าจะกลับมาเป็นบวกเพียง 1-2%
"รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่างๆ แต่ที่สำคัญยังไม่สามารถเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนต่างประเทศและฟื้นการท่องเที่ยวกลับมาได้ ทำให้การที่เศรษฐกิจจะกลับมาเป็นบวกภายในปีนี้เป็นเรื่องยาก และจะหวังพึ่งพาการส่งออกก็เป็นไปไม่ได้เพราะเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว และประเทศไทยมีจุดด้อยเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข" นายทนง กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกทำให้เริ่มมีปัจจัยบวก แต่การที่จะชี้ชัดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลแท้จริงหรือไม่ต้องรอถึงปี 2555 หรือต้องรออีก 3 ปีกว่าจะเห็นผล เพราะต้องรอให้เอกชนเกิดการลงทุน ซึ่งหากรัฐบาลไหนกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เห็นผลจะต้องมีการอัดฉีดเงินรอบใหม่ ทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และกินเวลายาวนานขึ้น
สำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อว่า ยังคงมีปัจจัยบวกสำหรับการลงทุน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวได้แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 300 จุด และปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 600 จุด ซึ่งนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีหากเข้าลงทุนทันตั้งแต่ช่วงนั้น
ส่วนผู้ที่พลาดการลงทุนในช่วงนั้นก็ยังมีโอกาส แต่ต้องพิจารณาหลักทรัพย์ที่จะลงทุน หรือแนะนำให้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดประเทศโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจ เช่น จีน เวียดนาม ซึ่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังสูง ดัชนีตลาดหลัดทรัพย์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยการลงทุนในต่างประเทศควรแบ่งสัดส่วนการลงทุน 10% และควรจะถือระยะยาวประมาณ 2-3 ปี เชื่อว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี