นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand competitiveness Conference 2009 ในหัวข้อ "Thailand's Competitiveness : Potential and Placement in the World Arena" ต่อสถานะประเทศไทยในปัจจุบัน และการจัดลำดับประเทศโดย Institute for Management Development (IMD) World Economic Forum และธนาคารโลก(World Bank)
นายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลกำหนดให้ความสามารถในการแข่งขันเป็นจุดเด่นของความสำเร็จ และต้องทำให้เกิดขึ้นจริง จึงมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ คิด วิจัยหรือกำหนดนโยบาย ช่วยกันพิจารณาจุดยืนและทำให้เศรษฐกิจประเทศสามารถแข่งขันได้
ส่วนการจัดลำดับประเทศนั้น ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยปรากฏอยู่ใน IMD’s Yearbook มาโดยตลอด และ ธนาคารโลกได้จัดให้เป็นประเทศเหมาะสำหรับดำเนินธุรกิจ "Doing Busine ss" ในเวที World Economic Forum ขณะที่ IMD ได้พิสูจน์ความสามารถของรัฐบาลในการสร้างและคงสภาพแวดล้อม เพื่อให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งความร่ำรวยเริ่มต้นที่ระดับประกอบการที่ดำเนินธุรกิจภายใต้สภาพแวดล้อมของประเทศ โดยรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันโดยตรง
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของ IMD และหนังสือประจำปี (World Competitiveness Yearbook)ที่ร่วมกับสมาคมบริหารจัดการแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association) พบว่าประเทศไทยมีจุดดีอยู่มาก และอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ
ส่วนในกลุ่มสำรวจ 60 ประเทศของ IMD พบว่า ผลการดำเนินการโดยรวมของไทยในปี 2552 อยู่ในลำดับที่ 26 จากอันดับ 27 ในปี 51 ใน 4 สาขาสำคัญ คือ ผลการดำเนินการด้านเศรษฐกิจ (Economic Performance)อยู่ในลำดับที่ 14, ประสิทธิภาพของรัฐบาลอยู่ในลำดับที่ 17 และประสิทธิภาพทางธุรกิจ(Government Efficiency and Business Efficiency) อยู่ในลำดับที่ 25 และโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ซึ่งครอบคลุม สุขภาพ การศึกษา เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และทรัพยากรมนุษย์ อยู่ในลำดับที่ 42
"รัฐบาลไม่ปฏิเสธความท้าทาย และตระหนักดีถึงอุปสรรคสำคัญของประเทศ จึงได้กำหนดให้การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นวาระสำคัญของชาติโดยขอให้ ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน" นายกรัฐมนตรี ระบุ