ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้หลั่งไหลเข้าถือครองเงินดอลลาร์ที่มองว่าเป็นสกุลเงินที่ปลอดความเสี่ยง ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก
โดยค่าเงินยูโรร่วงลง 0.02% แตะระดับ 1.3958 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3961 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง 0.45% แตะระดับ 1.6263 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.6337 ดอลลาร์/ปอนด์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.92% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 95.150 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 96.030 เยน/ดอลลาร์ และลดลง 0.08% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0854 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0863 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.41% แตะระดับ 0.7935 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.7968 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 0.35% แตะที่ 0.6319 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6297 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
เจมส์ ฮิวส์ นักวิเคราะห์จากซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์กล่าวว่า "เงินดอลลาร์ได้รับแรงซื้อเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุน เพราะนักลงทุนต้องการถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง"
ทั้งนี้ ตลาดปริวรรตเงินตราได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการของสหรัฐที่บ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะหดตัวที่ลดน้อยลงในเดือนมิ.ย. โดยสถาบันจัดการอุปทานเปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนม.ย.ขยายตัวแตะที่ 47 จุด เพิ่มขึ้นจากระดับ 44 จุดในเดือนพ.ค. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจบริการหดตัวน้อยที่สุดในรอบ 9 เดือน
อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในแง่บวกยังไม่สูงพอที่จะมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างแท้จริง เพราะจากการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่น่าผิดหวังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ทำให้นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต