ประชาชนและบริษัทเอกชนจำนวนมากที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณชายแดนจีนและเวียดนาม ต่างพากันยกเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการค้าขาย แต่หันมาใช้สกุลเงินหยวนของจีนแทน รวมถึงบริษัท กวางซี จินเป่ย กรุ๊ป ผู้จำน่ายเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่รายใหญ่ของจีน
"การค้าขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ที่บริเวณชายแดนจีน-เวียดนามลดลงเหลือเพียง 30% ในปีพ.ศ.2551 จากระดับ 87% ในปีพ.ศ.2550 เรามองว่าค่าเงินหยวนซึ่งแข็งแกร่งขึ้นแล้ว 21% นับตั้งแต่ธนาคารกลางจีนอนุญาตให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงต้นปีพ.ศ.2548 เริ่มมีเสถียรภาพแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดอลลาร์สหรัฐเป็นเพียงสกุลเงินเดียวที่กำหนดทิศทางการค้าของโลก และเมื่อดอลลาร์อ่อนตัวลง การค้าโลกก็อ่อนแอไปได้ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นักธุรกิจส่วนใหญ่ในจีนจึงสนับสนุนให้มีการใช้สกุลเงินหยวนเป็นสกุลเงินที่สำคัญของโลก แทนที่ดอลลาร์" นายหวง ซินหยวน รองประธานบริษัท กวางซี จินเป่ย กล่าว
บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลจีนได้ขยายข้อตกลงการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินหยวนตั้งแต่บริเวณแนวชายแดนไปจนถึงศูนย์กลางการเงินขนาดใหญ่ รวมถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ กวางโจว และฮ่องกง นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังวางแผนที่จะขยายขอบข่ายการใช้สกุลเงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักในการค้าขายนอกเขตชายแดนมาเลเซีย อินโดนีเซีย บราซิล และรัสเซีย ซึ่งสอดคล้องกับที่ประเทศเหล่านี้ต้องการลดบทบาทของสกุลเงินดอลลาร์ในการค้าและการเงินระหว่างประเทศ
นายเหอ เหยาเฟย รมช.คลังของจีนเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า จีนจะนำเรื่องการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เข้าสู่การอภิปรายในการประชุมสุดยอด G8 ในเดือนนี้ เนื่องจากจีนวิตกกังวลว่าการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์จะยิ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกของจีน ซึ่งความกังวลดังกล่าวทำให้จีนลดการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลงถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. เหลือเพียง 7.635 แสนล้านดอลลาร์
"เราคาดหวังว่าสกุลเงินดอลลาร์จะมีเสถียรภาพมากขึ้นในฐานะสกุลเงินที่ใช้ในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของโลก วิกฤตการณ์การเงินโลกส่งผลใหค่าเงินดอลลาร์อ่อนแอลงและส่งผลกระทบต่อระบบการเงินทั่วโลกด้วย เรามองว่า ควรจะมีการกระจายความเสี่ยงในระบบทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ผมเชื่อว่าทั่วโลกควรทำเช่นนี้" เหยาเฟยกล่าว