ธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้ออาจขยายตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ซึ่งภาวะดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายยังคงมีช่องทางการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก
มิแรนด้า โกลทอม รองผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซียเผยว่า "อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มขยับขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีหน้าซึ่งเรากำลังจับตาทิศทางความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อได้ในอนาคต"
เฮลไม อาร์มัน นักวิเคราะห์จาก PT Bank Danamon Indonesia ในจาการ์ต้ากล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวโดยไร้แรงกดดันอาจเปิดช่องให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียสามารถลดดอกเบี้ยลงได้อีก ขณะที่ธนาคารกลางอินเดียเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว แต่ถึงกระนั้นโอกาสในการลดดอกเบี้ยของอินโดนีเซียอาจมีอยู่ไม่มากนัก เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นหลังผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันนี้จะกระตุ้นให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
"ภาวะอุปสงค์มีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปจนถึงปีหน้า และสภาพเศรษฐกิจที่สดใสจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา ขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกจะกระตุ้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์" อาร์มันระบุ
ด้านนักวิเคราะห์จากโพลล์ของบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้ออาจไต่ระดับขึ้นแตะที่ 6.4% ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2553 จากระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปีที่ 3.65% ในเดือนมิ.ย.
เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 6.75% หลังจากที่ได้ลดดอกเบี้ยลงไปแล้วถึง 2.75% นับตั้งแต่เดือนธ.ค. พร้อมทั้งกล่าวว่า ธนาคารเหลือช่องทางไม่มากนักในการลดดอกเบี้ยลงในอนาคต
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปีนี้ขึ้นเป็น 4.2% จากเดิมที่ 3.5% ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวได้สูงถึง 4% ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นการขยายตัวที่เร็วที่สุดในเอเชียรองจากอินเดียและจีน