นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในเดือน ก.ค.มีความน่าเป็นห่วง เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตเร่งตัวขึ้นจนทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองในกลุ่มเอเซียแปซิฟิก รองจากประเทศออสเตรเลีย ขณะที่ประเทศจีนและญี่ปุ่นสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
ดังนั้น หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวให้อยู่ในวงจำกัด และปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อออกไปถึงเดือน ก.ย.52 จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จากเดิมคาดการณ์ว่าจะเริ่มฟื้นตัวในแดนบวก 1-2% จะกลับกลายเป็นลดลงไปอยู่ใกล้เคียง 0% และทำให้จีดีพีปีนี้ติดลบ 3.8-4.8% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 3.5-4.5%
ขณะที่ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น จะทำให้การฟื้นตัวเลื่อนออกไปถึงช่วงครึ่งหลังปี 53 โดบคาดว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไป 5 แสนถึง 1 ล้านคนและทำให้สูญเสียรายได้ราว 1.5-3.0 หมื่นล้านบาท
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในทางตรงกันข้ามหากรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดได้ภายในเดือน ก.ค.-ส.ค.52 ก็จะช่วยให้จีดีพีในไตรมาสสุดท้ายฟื้นตัวมาเป็นบวกได้ 1-2% และจีดีพีทั้งปีติดลบ 3.5-4.5% ตามคาดการณ์เดิม ขณะที่สถานการณ์ท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสแรกของปี 53
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์ฯ มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลปรับลดราคาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาของประชาชน และจัดสรรงบประมาณมารณรงค์ให้ประชาชนและสถานบริการหันมาให้ความสนใจเรื่องการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคดังกล่าว