เศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงปีหน้ามีแนวโน้มขยายตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น จากอานิสงส์ของการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลงแล้ว
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ 57 รายที่จัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กในระหว่างวันที่ 2-8 ก.ค.ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราเฉลี่ยที่ 1.5% ในช่วงเดือนก.ค.-ธ.ค. เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์เมื่อเดือนที่ผ่านมาว่าจะขยายตัว 1.2% แต่อัตราว่างงานจะยังคงพุ่งทะลุ 10% ในต้นปีหน้าก่อนจะขยับลงมาอยู่ในอัตราเฉลี่ยที่ 9.8% ในปี 2553
สัญญาณบ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น และยอดขายยานยนต์ที่ลดลงเพียงเล็กน้อยได้ช่วยจุดประกายความหวังว่า บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะคึกคักขึ้น ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ในกรอบจำกัดจากผลกระทบของการปรับลดจ้างงานและรายได้ภาคครัวเรือนที่หดตัวลง ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า สหรัฐไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่
สตีเฟ่น สแตนลีย์ นักวิเคราะห์จากอาร์บีเอส ซีเคียวริตีส์ อิงค์ กล่าวว่า "เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณความมีเสถียรภาพ และสถานการณ์ต่างๆกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น แต่ยังไม่เร็วมากพอที่จะช่วยให้ทุกคนคลายความวิตกกังวลได้"
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจฉบับล่าสุดระบุว่า เศรษฐกิจอาจหดตัวลง 1.8% ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. แต่จะกลับมาขยายตัวในไตรมาสปัจจุบันและสามารถโตได้ 2.1% ในปีต่อไป
ทั้งนี้ นอกจากนักวิเคราะห์จะปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจแล้ว ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การใช้จ่ายผู้บริโภคที่มีสัดส่วน 70% ของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน โดยคาดว่า ในไตรมาสนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคจะขยายตัว 1% หลังจากที่หดตัวลงในไตรมาสที่ผ่านมาและคาดว่าจะโตได้ 1.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553
ส่วนอัตราว่างงานคาดว่า จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.1% ในไตรมาสแรกของปีหน้า จากระดับ 9.5% ของเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 26 ปี ทั้งนี้ อัตราการจ้างงานของสหรัฐดิ่งลงราว 6.5 ล้านตำแหน่งนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเดือนธ.ค.2550 ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2