มาร์ก โมเบียส ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชื่อดังระดับโลกและประธานบริหารเทมเพิลตัน แอสเสท เมเนจเมนท์ คาดการณ์ว่า ความล้มเหลวด้านการกำกับดูแลในตลาดตราสารอนุพันธ์และปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินอันสืบเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลทั่วโลกจะทำให้เกิดวิกฤตการเงินครั้งใหม่
โดยโมเบียสกล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เลวร้ายของวิกฤตการเงินอาจเกิดขึ้นภายในช่วง 5 - 7 ปี เพราะแผนกระตุ้นการใช้จ่ายจะยิ่งทำให้ตลาดเงินมีความผันผวนเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ทั่วโลกใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS) คาดการณ์ว่า เม็ดเงินลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์จะอยู่ที่ 592 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 เท่าของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนของธนาคารยักษ์ใหญ่ โบรกเกอร์ และบริษัทประกันอาจมียอดขาดทุนหรือยอดปรับลดมูลค่าทางบัญชีเป็นเงินราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ต้นปี 2550
บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสควบคุมการซื้อขายในตลาดตราสารอนุพันธ์ด้วยการออกกฏหมายฉบับใหม่ให้รัดกุมมากขึ้น พร้อมกล่าวย้ำถึงข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีบารัค โอบามาให้มีการกำหนดมาตรฐานข้อตกลงในการซื้อขายแลกเปลี่ยนและควบคุมการลงทุนของดีลเลอร์ทุกราย
สำหรับมาตรการกำกับดูแลตลาดตราสารอนุพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกเครื่องข้อบังคับในภาคอุตสาหกรรมการเงินเพื่อป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำรอยขึ้นเหมือนเมื่อปลายปีก่อนที่เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ อิงค์ประสบภาวะล้มละลาย และอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) เผชิญกับแรงกดดันในตลาดสินเชื่อและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่เลวร้าย
ทั้งนี้ ตลาดตราสารอนุพันธ์ เป็นแหล่งลงทุนทางเลือกที่นักลงทุนมักใช้เก็งกำไรด้วยการโยกย้ายเงินจากตลาดหุ้น ตลาดปริวรรตเงินตรา ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์