ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/52 โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และพ้นจากการหดตัวในช่วงไตรมาส 4/52 แต่กว่าที่จีดีพีจะกลับไปขยายตัวในระดับเหมือนก่อนเกิดภาวะขาลงนั้นคงจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในช่วงไตรมาส 4/53
"การคาดหวังให้ GDP กลับขึ้นมายังระดับปี 50 อีกครั้ง ดูไม่น่าเป็นไปได้เร็ว เพราะอย่างเร็วที่สุดที่ไทยจะสามารถพ้นจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวได้อาจเป็นภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ไทยยังต้องการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 53 ประมาณ 4% เพื่อทำให้ภาพรวมกลับไปเท่ากับระดับสูงสุดในปี 50 แต่อาจจะเป็นไปได้ยากท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้า" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ศูนย์วิจัยฯ SCB คาดว่า ยอดส่งออกของไทยจะดีขึ้นในไตรมาส 3/52 เนื่องจากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมายอดส่งออกสอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD) ที่มีตัวชี้วัดที่ดีขึ้นติดต่อกัน โดยภาคอุตสาหกรรมที่น่าจะฟื้นตัวก่อน คือ กลุ่มเครื่องจักรและอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งวัตถุดิบพื้นฐาน ซึ่งได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของจีน เพราะจีนมียอดนำเข้าจากไทยสูงกว่าการนำเข้าจากภูมิภาคอื่นๆ โดยคิดเป็น 80% ของระดับก่อนเศรษฐกิจขาลง
นอกจากนี้ผลพวงจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังยังเป็นแรงเสริมในการกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้ฟื้นตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัตถุดิบพื้นฐาน เช่น เหล็กและเหล็กกล้า รวมทั้งซิเมนต์ แต่แรงเสริมนี้อาจใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะมีระยะเวลาดำเนินการและเบิกจ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าและเป็นความเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจไทย เพราะมีความเชื่อมโยงกับภาพเศรษฐกิจโดยรวมและมีการจ้างงานสูง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจะลดลงถึง 15% และรายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลง 20% ในปีนี้
ศูนยวิจัยฯ SCB คาดว่าปี 53 จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าจะเติบโต 6% และรายได้จากการท่องเที่ยวจะเติบโต 12% แต่ยังไม่มากพอที่ทำให้ไทยกลับไปสู่ระดับก่อนขาลง ทั้งนี้เนื่องจากตลาดท่องเที่ยวหลักของไทยโดยเฉพาะยุโรป ซึ่งใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเป็น 2 เท่าของนักท่องเที่ยวในเอเชียนั้น มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างช้า
ภาคอุตสาหกรรมที่รองรับแรงงานรายได้น้อยจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ฟื้นตัวได้ช้า เพราะส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการส่งออกที่ชะลอตัว ซึ่งโดยเฉลี่ยมักจะได้รับค่าจ้างที่ต่ำ จึงยิ่งได้รับผลกระทบจากค่าจ้างที่ลดลง สะท้อนให้เห็นจากยอดขายมอเตอร์ไซค์และรถปิคอัพที่ลดลง 40-50% นอกจากนี้ที่พักอาศัยในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับล่าง เช่น คอนโดมิเนียมและบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นแหล่งการใช้จ่ายของผู้มีรายได้กลุ่มนี้ก็น่าจะฟื้นตัวช้าด้วย
เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแต่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวในแบบที่เติบโตน้อยกว่าเดิม เพราะการส่งออกไม่ได้เป็นพลังขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพเช่นแต่ก่อน ภาคครัวเรือนสหรัฐฯ ไม่สามารถเป็นแหล่งผู้บริโภคที่โลกจะหันไปพึ่งได้ดังที่เคยเป็น ขณะที่เศรษฐกิจจีนเพียงลำพังก็ไม่สามารถทำบทบาทนั้นแทนได้ ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องสร้างอุปสงค์ภายในประเทศอย่างยั่งยืน ด้วยการปรับค่าจ้างและอัตราการเพิ่มผลผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้ในที่สุดแล้วต้องกลับไปพึ่งพาการส่งออกอยู่เช่นเดิม