นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือน มิ.ย.52 ว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้ 143,411 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 46,876 ล้านบาท หรือร้อยละ 48.6 เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมที่สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 26,087 และ 26,388 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากวันสุดท้ายของการยื่นชำระภาษีจากผลกำไรสุทธิ รอบสิ้นระยะเวลาบัญชีปี 2551 ตรงกับวันหยุด จึงได้มีการเลื่อนระยะเวลาการยื่นชำระภาษีวันสุดท้ายเป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ทำให้มีรายได้ส่วนหนึ่งเหลื่อมมาในเดือนมิถุนายน 2552
นอกจากนี้ ภาษีน้ำมันจัดเก็บได้ 13,331 ล้านบาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 7,177 ล้านบาท หรือร้อยละ 116.6 เนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประกอบ กับการจัดเก็บภาษีน้ำมันในเดือนเดียวกันปีที่แล้วอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว
อย่างไรก็ดี มูลค่าการนำเข้าที่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าและอากรขาเข้าต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วจำนวน 5,139 และ 2,372 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.4 และ 29.0 ตามลำดับ นอกจากนี้ภาษีรถยนต์ ยาสูบ และสุรา จัดเก็บได้ต่ำกว่าเดือน เดียวกันปีที่แล้ว 1,279 1,149 และ 1,085 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.4 37.5 และ 35.1 ตามลำดับ โดยในกรณีของภาษียาสูบและสุราที่จัดเก็บได้ ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ทั้ง ๆ ที่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีตั้งแต่เดือน พฤษภาคมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการได้เร่งผลิตสินค้าในช่วงที่มีข่าวจะปรับเพิ่มอัตราภาษี
ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551 — มิถุนายน 2552) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,021,098 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 110,931 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.8 เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีของ 3 กรมหลัก ที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วโดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล อากรขาเข้า และภาษีรถยนต์ นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเช่นกัน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังคาดว่า การจัดเก็บรายได้ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2552 จะต่ำกว่าประมาณการตามเอกสาร งบประมาณ (1,604,640 ล้านบาท) น้อยกว่า 280,000 ล้านบาท ตามที่คาดไว้