เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค (JPMorgan Chase & Co.) ธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ รายงานผลกำไรไตรมาสสอง เพิ่มขึ้น 36% สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่ง
โดยผลกำไรสุทธิไตรมาสสองอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 28 เซนต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 53 เซนต์ในปีก่อน ขณะที่นักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น ได้คาดการณ์ไว้ที่ 5 เซนต์ต่อหุ้น
เจพีมอร์แกนระบุในแถลงการณ์ว่า ธนาคารสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าจะมีรายจ่ายคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 27 เซนต์ต่อหุ้น เนื่องจากธนาคารได้ชำระเงินกู้ทั้ง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐคืนให้แก่รัฐบาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) นอกจากนี้ ธนาคารยังเสียค่าปรับให้แก่บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เป็นจำนวน 10 เซนต์ต่อหุ้นด้วย
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนถือเป็นธนาคารแห่งเดียวในอันดับท็อป 5 ของสหรัฐที่สามารถทำกำไรได้ทุกไตรมาสตั้งแต่ที่วิกฤตการเงินได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2550 เนื่องจากรายได้ในธุรกิจวาณิชธนกิจ ธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ และอันเดอร์ไรท์ที่เข้มแข็ง สามารถชดเชยหนี้ค้างชำระที่เพิ่มสูงขึ้นจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยและบัตรเครดิตได้
การเปิดเผยผลประกอบการของเจพีมอร์แกนมีขึ้นหลังจากที่วานนี้ โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารอันดับ 5 ของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ ได้เปิดเผยผลกำไร 3.44 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.93 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดือนเม.ย. - มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.09 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.58 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเหนือกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นเดียวกัน