นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา "จำนำ-ประกันราคา...ฤาแก้ปัญหาสินค้าเกษตรไทย"ว่า รัฐบาลจะประกันราคาสินค้าเกษตรแทนการรับจำนำ เพราะปีที่ผ่านมารัฐบาลต้องเสียงบประมาณรับจำนำ 159,000 ล้านบาท โดยเป็นต้นทุนการรับจำนำถึง 146,000 ล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายเสียเปล่า เช่น ค่าเช่าโกดัง ค่าแปรสภาพอีก 12,000 ล้านบาท ยังไม่รวมการขายขาดทุนจากการรับจำนำอีกมหาศาล แต่ช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 880,000 คนเท่านั้น
ขณะที่แนวทางการประกันราคาจะเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บลดลง และช่วยเหลือเกษตรกรได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.92 ล้านคน แม้จะมีค่าใช้จ่ายเสียเปล่าเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลจะไม่มีภาระอื่นให้ต้องรับผิดชอบอีก
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ระบบประกันราคาใหม่นั้น รัฐบาลได้นำร่องกับข้าวเปลือกหอมมะลินาปีปี 52 จำนวน 200,000 ตัน ใน 8 จังหวัด โดยจะขึ้นทะเบียนเกษตรกรตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.52 กำหนดราคาขั้นต่ำที่ตันละ 14,700-15,000 บาท ซึ่งคำนวณจากต้นทุนการผลิตและบวกกำไรให้เกษตรกร 10-30% ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด และจะประกาศราคาอ้างอิงทุก 15 วัน
"รัฐบาลจะขาดทุนน้อยลง เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น และตลาดมีเสถียรภาพ เพราะต้องกำหนดราคาอ้างอิงทุก 15 วัน โดยรัฐบาลอาจเข้าไปแทรกแซง หากพ่อค้าไม่ยอมซื้อ รัฐบาลก็จะไปตั้งโต๊ะรับซื้อเอง อาจเรียกว่าจำนำ แต่ราคาต่ำกว่าตลาด เพื่อดึงผลผลิตออกจากตลาด ทำให้ราคามีเสถียรภาพ" นายกอร์ปศักดิ์กล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย ต้องการให้รัฐบาลเลื่อนการเปิดโครงการรับประกันราคาข้าวเปลือกนาปีปี 52 ออกไปเป็นฤดูกาลหน้า เพราะรัฐบาลยังไม่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร การขึ้นทะเบียนเกษตรกร การกำหนดราคา หากยังฝืนดำเนินการ เกรงว่าจะเกิดการคอร์รัปชั่น และการรั่วไหลของงบประมาณรัฐมากกว่าการรับจำนำ โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนพื้นที่เพาะปลูกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับเกษตรกร หรือการตรวจสอบการซื้อขายสินค้าระหว่างเกษตรกรกับพ่อค้าที่อาจฮั้วราคาจนทำให้รัฐเสียส่วนต่างประกันราคาสูงเกินจริง
ขณะที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะประกันราคา เพราะเป็นมาตรการที่บิดเบือนกลไกตลาดน้อยกว่าการรับจำนำที่ผ่านมา