นายทองอยู่ คงขันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้า เพื่อการนำเข้าและการส่งออก กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้มีรถบรรทุกของภาคการขนส่งสินค้า ต้องจอดนิ่งกว่า 2 แสนคัน จากทั้งหมด 7.4 แสนคัน เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ลดลง โดยพบว่าการขนส่งสินค้าภายในประเทศลดลงร้อยละ 35 และขนส่งระหว่างประเทศลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
สมาคมฯจึงเสนอให้รัฐบาลส่งเสริมให้นำรถเหล่านี้ไปใช้ขนส่งสินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน ภายในความร่วมมือของอาเซียน ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการขนส่งไทยมีใบอนุญาตขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทย-ลาว และไทย-ลาว-เวียดนามอยู่แล้ว
นอกจากนั้นขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การปรับโคงสร้างขึ้นภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซล เพราะทำให้ราคาน้ำมันสูงกว่าที่ควรจะเป็น 2-5 บาทต่อลิตร จากการเก็บภาษีสรรพสามิต แต่เห็นว่า รัฐบาลควรหารายได้จากวิธีอื่นแทน เช่น ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รั่วไหลจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน การเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ไทย-จีน ยังจะทำให้ภาคขนส่งไทยเสียเปรียบจีนอย่างหนัก จึงขอให้รัฐบาลชะลอออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้เอกชนไทยปรับตัวได้ทัน พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลตั้งกองทุน 20,000 ล้านบาทขึ้นมาพัฒนาภาคการขนส่งของไทยให้ทัดเทียมคู่แข่ง โดย ปัจจุบันจีนได้เปรียบไทยทุกอย่าง ทั้งขนาดของยานพาหนะที่ยาวถึง 15.5 เมตร ขณะที่ไทยอยู่ที่ 12.5 เมตร อีกทั้งพนักงานขับของไทยยังอ่านภาษาจีนไม่ได้ จึงเป็นอุปสรรคในการขนส่งทางบกจากไทยเข้าไปในยังจีน
"หากรัฐบาลหันมาพัฒนาระบบขนส่งอย่างจริงจังในช่วงนี้ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากมีรถหยุดวิ่งกว่า 2 แสนคัน ที่สามารถนำไปส่งเสริมให้วิ่งขนส่งสินค้าในประเทศเพื่อบ้านได้เลย" นายทองอยู่ กล่าว