ฟอร์ด มอเตอร์ ค่ายรถ "บิ๊กทรี" รายเดียวที่ไม่ล้มละลาย แถมยังปฏิเสธรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐ รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสสองที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 69 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการลดต้นทุน และการได้ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐเพิ่มขึ้นแม้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยในไตรมาส 2/2551 ฟอร์ดขาดทุน 8.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.89 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม ผลกำไรส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-time gain) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ดีมานด์รถใหม่ยังอ่อนแอ ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้ดังกล่าว ฟอร์ดจะขาดทุนจากการดำเนินงาน 424 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้ของฟอร์ดลดลง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เหลือ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์
อลัน มูลัลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฟอร์ด กล่าวว่า สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจทั่วโลกยังมีความท้าทายสูง อย่างไรก็ดี แม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ บริษัทก็ยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นเพราะแผนการปรับโครงสร้างมีความคืบหน้า
เพื่อให้บริษัทสามารถต้านทานวิกฤตเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ฟอร์ดได้ตัดสินใจเลย์ออฟพนักงานหลายหมื่นคนและปิดโรงงานเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเรื่องการขายแบรนด์วอลโว่เพื่อเพิ่มเงินสดด้วย หลังจากที่ขายแบรนด์หรูในเครืออย่าง จากัวร์ และ แอสตัน มาร์ตินไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ตัวเลขผลกำไรของฟอร์ดดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และคาดว่าหุ้นของฟอร์ดน่าจะไต่ขึ้นเมื่อตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการในวันพฤหัสบดี