หัวหน้าคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวให้คำมั่นกับจีนว่า สหรัฐจะควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ให้ได้ หลังจากที่จีนออกมาแสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องมูลค่าของพันธบัตรสหรัฐที่จีนถืออยู่เป็นจำนวนมาก
โดยในการประชุมยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจระหว่างเจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งมีนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลัง และนางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศของสหรัฐ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนั้น ไกธ์เนอร์พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับที่ประชุมว่า สหรัฐสามารถลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ภายในปี 2556 และไม่ได้แตะประเด็นค่าเงินหยวนของจีนที่บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติกังวลว่ามีมูลค่าต่ำเกินจริงและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ส่งออกของจีน
โอบามากล่าวในระหว่างการเปิดการประชุมว่า เขาต้องการให้จีนร่วมมือกับสหรัฐในขอบข่ายที่กว้างขึ้น รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวต่อไปได้ รวมถึงขอความร่วมมือจากจีนในประเด็นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและเกาหลีเหนือ ภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย การละเมิดลิขสิทธิ์ และสงครามกลางเมือง โรนัลด์ แมคคินนอน ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า จีนลงทุนในพันธบัตรสหรัฐจำนวนมหาศาล จึงไม่แปลกที่จีนจะวิตกกังวลเรื่องความมั่นคงของสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ แต่การที่คณะทำงานของโอบามาไม่ได้แตะประเด็นค่าเงินหยวนในการประชุมครั้งนี้ อาจเป็นเพราะสหรัฐมองว่าทางที่ดีที่สุดคือการรักษาระดับเงินหยวนต่อดอลลาร์ให้มีเสถียรภาพ เพื่อจูงใจให้จีนยังคงเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐต่อไป
"จีนกำลังติดกับดักที่พยายามจี้ให้สหรัฐลดยอดขาดดุลการค้าและหนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากจีนถอนตัวออกจากตลาดพันธบัตร จะทำให้ค่าเงินหยวนพุ่งขึ้นรุนแรงและจะฉุดยอดส่งออกของจีนดิ่งเหวทันที" ศาสตราจารย์แมคคินนอนกล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การที่จีนหันมาให้ความสนใจประเด็นการขาดดุลงบประมาณและพันธบัตรสหรัฐครั้งล่าสุดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าจีนวิตกกังวลเรื่องผลประโยชน์ของตนเอง เนื่องจากจีนมียอดเกินดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ และมีเม็ดเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ซึ่งในจำนวนนี้มีพันธบัตรสหรัฐที่จีนถือครองอยู่ถึง 8.015 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ