สศค.เตรียมเสนอ รมว.คลัง ออก ก.ม.แก้จุดอ่อนเศรษฐกิจและสังคมระยะกลาง-ยาว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 31, 2009 15:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมที่จะเสนอนโยบายด้านการคลังเชิงรุกให้ รมว.คลัง พิจารณา โดยมุ่งเน้นการแก้ไขจุดอ่อนของปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะปานกลางและระยะยาว ได้แก่ มาตรการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, มาตรการภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม, พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ที่เป็นธรรม, พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจเพื่อขยายขอบเขตสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อ, พ.ร.บ.การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติหรือกองทุนการออมเพื่อการชราภาพ เพื่อดูแลด้านหลักประกันรายได้เพื่อการยังชีพเมื่อชราภาพสำหรับแรงงานนอกระบบ และแผนปฏิรูปสถาบันการเงินของรัฐ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรให้ความสำคัญกับนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น จีน และอินเดีย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ใน 4 มิติ ได้แก่ เชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ เสถียรภาพ และความยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวบ้างแล้ว ดังนั้นภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ในช่วงที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนไทยยังอ่อนแอ ภาครัฐจำเป็นต้องมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นผ่านทาง 3 นโยบายหลัก คือ การดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และเร่งรัดการเบิกจ่ายของรัฐบาล เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนภายในประเทศ, การดำเนินโยบายการเงิน ผ่านสนับสนุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ให้ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และจัดทำแยกบัญชีตามนโยบายรัฐ(PSA) เพื่อแยกบัญชีสำหรับการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การสร้างความโปร่งใสทางการคลัง และการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ามากกว่าค่าเงินของประเทศคู่แข่ง ผ่านการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และการลดอากรนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ

ผู้อำนวยการ สศค.กล่าวว่า ภาครัฐมีข้อจำกัดในการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงจำเป็นต้องออกกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินเพิ่มเติม โดยภาครัฐต้องดูแลการใช้เงินกู้มาลงทุนในโครงการที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ด้าน น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ได้แสดงความคิดเห็นว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 52 จะหดตัวที่ 2.9% และจะขยายตัวเป็นบวกที่ 2% ในปี 53 ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้นคาดว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 1.8% ไตรมาส 4/52 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัวที่ 2.7%

โดยหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ โครงสร้างเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไป การบริโภคของสหรัฐจะลดลง การแข่งขันทางการค้าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกของไทยลดลง นอกจากนี้สภาพคล่องของโลกจะเพิ่มขึ้นตามการออมที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมาสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นและนำมาสู่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีน อินเดีย และ บราซิล มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกไปประเทศดังกล่าวได้ในอนาคต ดังนั้นภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านการผลิตและการบริการ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มคุณภาพของสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก มีการพัฒนาคุณภาพของคน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ ตลอดจนลดกฎระเบียบและขั้นตอนที่ยุ่งยากของภาครัฐ และภาครัฐยังจำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ และสร้างระบบการป้องกันทางสังคม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ