สตีเฟ่น กรีน ประธานของเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า ธุรกิจของธนาคารในสหรัฐขยายตัวได้ดีเหนือความคาดหมาย หลังจากที่ยอดเก็บค่าธรรมเนียมเงินกู้ของธนาคารเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พร้อมทั้งคาดว่า ตลาดเงินอาจผ่านพ้นจุดต่ำสุดของวัฏจักรไปแล้ว แต่การฟื้นตัวของตลาดนับจากนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ
โดยเมื่อวานนี้ ธนาคารเปิดเผยตัวเลขขาดทุนก่อนหักภาษีที่ 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการดำเนินธุรกิจในอเมริกาเหนือ เมื่อเทียบกับที่ขาดทุน 2.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้านี้
"ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเลขสินทรัพย์ด้อยค่า แต่ผลการดำเนินงานของเราจะออกมาดีกว่าที่ทั้งเราและนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้" กรีนกล่าว
การที่เอชเอสบีซีได้เทคโอเวอร์บริษัท Household International Inc. ผู้ปล่อยกู้ให้ลูกหนี้กลุ่มซับไพรม์ในปี 2546 ทำให้มีธนาคารตั้งสำรองเงิน 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบ 3 ปีครึ่งท่ามกลางผลกระทบจากตัวเลขหนี้เสียที่สูงขึ้นในสหรัฐ โดยเอชเอสบีซีได้ตัดสินใจที่จะยุบธุรกิจปล่อยเงินกู้ผู้บริโภคในเดือนมี.ค. และอาจทบทวนธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารหากเศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่ลง ขณะที่ธนาคารได้ระดมทุน 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์จากผู้ถือหุ้นผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา "ผมไม่คิดว่าเศรษฐกิจจะดีดตัวกลับมาแข็งแกร่งได้ในทันที แต่สถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป" กรีนกล่าว เมื่อวานนี้ เอชเอสบีซี รายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่ 3.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายได้ในธุรกิจหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ขณะที่ ณ เวลา 11:33 น.ตามเวลาท้องถิ่นของฮ่องกง หุ้นเอชเอสบีซีไต่ระดับขึ้น 6.4%
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเอชเอสบีซีขึ้นมาอยู่ที่ "overweight" จากระดับ "neutral" หลังธนาคารประกาศผลประกอบการ ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนเป็น "neutral" จาก "underperform"