คลังเร่งแบงก์รัฐปล่อยกู้ปีนี้ 9.27 แสน ลบ.ขอ ครม.อนุมัติแยกบัญชี PSA

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 4, 2009 16:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันพรุ่งนี้รับทราบแนวทางการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในปี 52 วงเงินรวม 927,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิม 302,000 ล้านบาท หลังจากรัฐบาลมีแนวทางการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบมากขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทดแทนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และมีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการอำนวยสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ให้ได้ตามเป้าหมาย อาจเป็นปัญหาต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่ต้องดำเนินการให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสีย ดังนั้น จึงจะเสนอ ครม.พิจารณาการแยกบัญชีสำหรับการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล(PSA)เพื่อให้รัฐบาลชดเชยผลเสียหายที่เกิดขึ้น และจะมีการแยกกลุ่มในการปล่อยสินเชื่ออย่างชัดเจน เช่น กลุ่มท่องเที่ยว รถยนต์

"คณะกรรมการขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจฯ จะคอยติดตามผลการปล่อยสินเชื่ออย่างใกล้ชิดทุกสัปดาห์ ซึ่งการปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส.และ ธอส.มองแล้วไม่น่าเป็นห่วง เพราะต่างมีแผนงานที่ชัดเจนแล้ว แต่เป็นห่วงเอ็กซิมแบงก์ เอสเอ็มอีแบงก์ และ บสย. จึงต้องเรียกประชุมผู้บริหารในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ เพื่อกำหนดแผนสินเชื่อให้ชัดเจน"นายประดิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ ได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง จากเดิม 625,000 ล้านบาท เป็น 927,000 ล้านบาท โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเป้าหมายการปล่อยสินเชื่ออีก 147,000 ล้านบาท จากเดิม 323,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 470,000 ล้านบาท ธนาคารออมสิน เพิ่มเป้าหมายสินเชื่ออีก 80,000 ล้านบาท จากเดิม 162,600 ล้านบาท เป็น 242,600 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่มเป้าหมายปล่อยสินเชื่อ 26,500 ล้านบาท จากเดิม 73,500 เพิ่มเป็น 100,000 ล้านบาท

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เพิ่มเป้าหมายปล่อยสินเชื่ออีก 17,500 ล้านบาท จากเดิม 19,700 ล้านบาท เพิ่มเป็น 37,200 ล้านบาท และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (I-Bank) เพิ่มเป้าหมายปล่อยสินเชื่ออีก 13,000 ล้านบาท จากเดิม 20,700 ล้านบาท 33,700 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ