นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ระบุว่าอีก 6 ปีข้างหน้า หรือในปี 2558 กลุ่มประเทศอาเซียนจะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ หรือรวมตัวเป็นฐานการผลิตเดียวกัน(single market) ซึ่งช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้เสมือนอยู่ในประเทศเดียวกัน โดยสามารถใช้ทรัพยากร วัตถุดิบ และแรงงานในการผลิตสินค้าที่ปราศจากอุปสรรคทั้งมาตรการกีดกันเรื่องภาษีและไม่ใช่เรื่องภาษี
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ประกอบการของไทยต้องเร่งปรับตัวทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยเชิงรุกต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการสร้างแบรนด์ สร้างมูลค่าเพิ่ม ใช้กลยุทธ์เชิงรุกเจาะตลาด พัฒนาและผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาด ส่วนเชิงรับต้องปรับปรุงศักยภาพของสินค้าที่ไม่สามารถแข่งขันได้ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาระบบการบริหารจัดการ พัฒนาบุคลากรและฝีมือแรงงาน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อศึกษาหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกลุ่มเอสเอ็มอีอาจจะมีปัญหาบ้าง ซึ่งกลุ่มอาเซียนเองเตรียมจัดตั้ง SMEs Council เพื่อเข้ามาช่วยเหลือในการบรรเทาผลกระทบและเสริมสร้างศักยภาพความเข้มแข็ง โดยประชากรในกลุ่มอาเซียนจะได้รับประโยชน์จากการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน เสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชากร ซึ่งมีการศึกษาพบว่าจีดีพีของประเทศสมาชิกอาเซียนจะขยายตัวได้ถึงปีละ 8-10%