นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับรัฐมนตรีการค้าของประเทศคู่เจรจา+3 ซึ่งประกอบด้วยจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ได้รับทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน+3 ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสมาชิกที่ระบุว่า หากประเทศสมาชิกมีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันจะส่งผลให้ GDP ของประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น 1.2% โดยในส่วนของอาเซียนจะได้รับประโยชน์มากกว่า เพราะ GDP ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่ GDP ของจีน เกาหลี และญี่ปุ่น จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.9% และไทยเพิ่มขึ้น 4.5%
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ขอให้ระดับเจ้าหน้าที่ภาครัฐกลับไปศึกษาเพิ่มเติมจากข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินทิศทางการรวมกลุ่มในอนาคต ซึ่งต่างเห็นพ้องกันว่าความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน, อาเซียน-เกาหลี และอาเซียน-ญี่ปุ่น จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการนำไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน+3 ในอนาคต
ขณะที่การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับรัฐมนตรีการค้าของประเทศคู่เจรจา+6 ซึ่งประกอบด้วย จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นั้น ที่ประชุมได้รับทราบผลศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้ง 16 ประเทศที่ระบุว่า หากประเทศสมาชิกจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันจะส่งผลให้ GDP ของประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น 1.3%
โดย GDP ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 3.83% และไทยเพิ่มขึ้น 4.78% ดังนั้นที่ประชุมจึงได้มอบให้ระดับเจ้าหน้าที่ไปศึกษาข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเช่นกัน เพื่อประเมินทิศทางที่ควรจะเดินหน้าต่อไปในอนาคต
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกถือว่ามีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น เพราะหากพิจารณาจากขนาดของเศรษฐกิจจะพบว่า ในภูมิภาคนี้มีขนาด GDP ถึง 26% ของ GDP โลก และครอบคลุมประชากรกว่า 49.6% ของประชากรโลก ซึ่งมีปริมาณมากกว่าประชากรของกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป(EU) และกลุ่มความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ(สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก)ถึง 7 เท่า
ทั้งนี้อาเซียนได้มีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาทั้ง 6 ประเทศแล้ว คือ อาเซียน-ญี่ปุ่น, อาเซียน-จีน, อาเซียน-จีน, อาเซียน-เกาหลี, อาเซียน-ออสเตรเลีย, อาเซียน-นิวซีแลนด์ และอาเซียน-อินเดีย