ภาวะเงินปอนด์ที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 24 ปีในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังธนาคารกลางอังกฤษอัดฉีดธนบัตรพิมพ์ใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และควบคุมอัตราเงินเฟ้อเพื่อมิให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงเพื่อดึงดูดนักลงทุน
เงินปอนด์แข็งค่าถึง 23.5% ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.- 5 ส.ค. หลังมีกระแสคาดการณ์ว่าสินทรัพย์ในอังกฤษจะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงสุดในรอบ 60 ปีกำลังบรรเทาเบาบางลง แต่ภาวะการณ์ดังกล่าวได้ยุติลงเมื่อวันที่ 6 ส.ค. หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางเผยว่าเศรษฐกิจถดถอยเกินคาด พร้อมหันไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการซื้อหนี้ของธนาคารต่างๆ เพิ่มอีก 40% เป็น 2.9 แสนล้านดอลลาร์ และหลังจากนั้น 6 วัน เมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลาง เปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้ออาจร่วงลงต่ำกว่าเป้าที่ทางธนาคารตั้งไว้
เงินปอนด์อ่อนค่าลง 2.6% นับตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.เป็นต้นมา จนปิดที่ 1.6543 ดอลลาร์/ปอนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีเพียง 3 สกุลเงินที่ทำผลงานได้แย่กว่าเงินปอนด์ ยิ่งไปกว่านั้น บีเอ็นพี พาริบาส เอสเอ ธนาคารรายใหญ่สุดของฝรั่งเศส คาดการณ์ว่า เงินปอนด์จะอ่อนค่าลงอีก 9.3% แตะ 1.50 ดอลลาร์/ปอนด์ ภายใน 12 เดือนต่อจากนี้
"ผมมีมุมมองในแง่ลบสุดๆกับเงินปอนด์" ฮันส์-กอนเตอร์ เรเดเกอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของบีเอ็นพี กล่าว "ธนาคารกลางอังกฤษแสดงให้เห็นชัดเลยว่าไม่สามารถรับมือกับเงินปอนด์ที่แข็งค่ากว่านี้ได้" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน