ธนาคารกลางออสเตรเลียเปิดเผยถึงเรื่องกรอบระยะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปีในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวว่า จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบที่มีต่อความเชื่อมั่นและภาวะอุปสงค์ในประเทศ
รายงานหลังการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลียระบุว่า "สิ่งสำคัญซึ่งเป็นที่มาของความไม่แน่นอนอยู่ที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่กระเตื้องขึ้นเมื่อช่วงที่ผ่านมา อันเป็นจากผลของการจ่ายเงินช่วยเหลือชั่วคราวของรัฐบาล ซึ่งตัวเลขที่ขยายตัวคึกคักอาจค่อยๆแผ่วลงในอนาคต"
บลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียได้ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมที่ 3% เมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนสามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยในช่วงไตรมาสแรก ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ใช้นโยบายแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือน 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (9.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกในไตรมาส 2 ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
สตีเวนส์กล่าวว่า "ในการหารือเรื่องกรอบเวลาและขั้นตอนยกเลิกการใช้นโยบายกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ใช้ในปัจจุบันนี้ ทางสมาชิกของธนาคารมองว่าต้องพิจารณาจากความเสี่ยง 2 ประการ กล่าวคือ การใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนที่นานเกินไป และการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดเร็วเกินไปซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยที่ขัดขวางความเชื่อมั่นและอุปสงค์ ที่สำคัญข้อมูลในช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่เราจะต้องพิจารณาเพื่อปูทางการกำหนดนโยบายทางการเงินของธนาคารต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ เศรษฐกิจออสเตรเลียขยายตัว 0.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งดีดตัวขึ้นจากไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาซึ่งหดตัวครั้งแรกในรอบ 8 ปี เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยและการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้น โดยสตีเวนส์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน