ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) มั่นใจต่างชาติยังเลือกไทยเป็นฐานการลงทุน โดย ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ(FDI) ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ก.ค.52) ทะลุ 7.3 หมื่นล้านบาท เฉพาะเดือน ก.ค.เดือนเดียวมียอดขอรับส่งเสริมสูงถึง 2.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นยังครองแชมป์เข้ามาลงทุนมากสุด รองลงมาเป็นจีน และยุโรป
นางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน บีโอไอ เปิดเผยว่า ยอด FDI ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมามีโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 347 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 73,955 ล้านบาท และคาดว่าก่อให้เกิดการจ้างงานไทยกว่า 30,303 คน โดยเฉพาะในเดือน ก.ค.เดือนเดียวมีคำขอรับส่งเสริม 66 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 23,974 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47% ของมูลค่าเงินลงทุนตลอดช่วง 6 เดือนแรก
"จำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุนจากต่างชาติเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจากมูลค่าเงินลงทุนในเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว มีมูลค่าขอรับส่งเสริมสูงถึงกว่า 23,974 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังให้ความสำคัญกับการเข้ามาลงทุนในกิจการในประเทศไทย ประกอบกับบีโอไอได้มีกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมั่นใจว่าจนถึงสิ้นปี 52 ทิศทางการลงทุนของไทยจะเริ่มกลับมามีแนวโน้มที่ดี" นางหิรัญญา กล่าว
โดยกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นยังเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดถึง 130 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 30,181 ล้านบาท รองมาคือ ยุโรปมี 80 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7,196 ล้านบาท ตามด้วยจีน 13 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 4,752 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่างชาติสนใจจะเข้ามาลงทุนส่วนใหญ่เป็นกิจการบริการและสาธารณูปโภคในภาคอุตสาหกรรม รองลงมาคือ กิจการผลิตชิ้นส่วนโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่าคำขอรับส่งเสริมส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเปิดกิจการใหม่มากถึง 192 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 38,738 ล้านบาท ขณะที่การขยายการลงทุนของโครงการเดิมมีประมาณ 155 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 35,217 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ก็ยังมีกลุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
นางหิรัญญา กล่าวว่า โครงการต่างชาติที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 เดือนปีนี้ มีโครงการขนาดใหญ่ถึง 15 โครงการ อาทิ โครงการลงทุนในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า กิจการโรงแรม กิจการผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าชธรรมชาติ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงาน กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเดินเรือทะเล กิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกิจการผลิตถ่านหิน(Coke) เป็นต้น