ฟอร์ด มอเตอร์ เตรียมปรับเพิ่มแนวโน้มยอดขายรถในสหรัฐปีนี้จากเดิมที่ 10.5 ล้านคัน เป็น 11 ล้านคัน ซึ่งนับรวมยอดขายรถบรรทุกและรถขนาดกลางประมาณ 2 แสนคัน หลังจากที่บริษัทได้รับอานิสส์จากโครงการซื้อรถใหม่แลกรถเก่าของรัฐบาลที่จูงใจกลุ่มผู้ซื้อ ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอยคลี่คลายตัวลง
บลูมเบิร์กรายงานว่า เอลเลน ฮิวจ์ ครอมวิค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของฟอร์ด กล่าวว่า ตอนนี้เศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวขึ้นแล้ว ดังนั้น ยอดขายรถก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยอดขายน่าจะปรับตัวขึ้นในระดับหนึ่ง หลังจากที่เศรษฐกิจได้ดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเศรษฐกิจก็เริ่มมีเสถียรภาพ
ฟอร์ด ซึ่งเป็นเพียงบริษัทรถเพียงแห่งเดียวที่สามารถรอดพ้นจากกล้มละลาย ได้รับแรงหนุนจากความต้องการฟอร์ด โฟกัส ซึ่งเป็นรถขนาดเล็ก รวมถึงรถอเนกประสงค์อย่าง ฟอร์ด เอสเคป ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ติดอันดับรถขายดี ขณะที่รัฐบาลกำลังจัดหาสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้ซื้อรถใหม่โดยแลกกับรถเก่าที่ไม่ประหยัดพลังงานถึง 4,500 คน
ฟอร์ดประเมินว่า โครงการจูงใจซื้อรถใหม่ของรัฐบาลจะสร้างยอดขายรถในสหรัฐได้ 750,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของบริษัทก่อนหน้านี้
ฟอร์ดเองก็กำลังเพิ่มการผลิตอีก 26% ที่โรงงานในอเมริกาเหนือช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อผลิตรถให้ได้ 1.1 ล้านคัน โดยยอดขายรถในสหรัฐของฟอร์ดเมื่อเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.3% นับเป็นยอดขายที่ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2550
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กล่าวต่อไปว่า ยอดขายรถจะหดตัวลงเมื่อโครงการจูงใจของรัฐบาลสิ้นสุดลง แต่จะไม่ลดลงไปอยู่ที่ระดับครึ่งปีแรกซึ่งไม่ถึง 10 ล้านคัน ผลพวงจากโครงการจูงใจซื้อรถใหม่นี้ดว่า จะทำให้ยอดขายรถเพิ่มขึ้น 2-3 แสนคันในอนาคต