ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจบัตรเครดิตกล่าวว่า ชาวอเมริกาที่มีเครดิตดีที่สุดอาจได้รับผลกระทบมากที่สุดเมื่อกฎหมายปฏิรูปบัตรเครดิตมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตทุกประเภทที่ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงค่าโทรศัพท์มือถือ โดยนายชวาร์ค แซทยาโวลู ประธานและผู้ก่อตั้งเว็บไซท์ BillShrink.com ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตชั้นดีสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 12.5% ในเดือนก.ค. จากเดือนม.ค.ที่ 10.5%
"ธุรกิจบัตรเครดิตเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากที่ใช้บัตรเครดิตรุ่นใหม่ออกไปจับจ่ายซื้อของจะต้องแบกรับเงื่อนไขที่ตึงตัวมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ลูกค้าเลิกถือบัตรเครดิตไประยะหนึ่งจนกว่าธุรกิจบัตรเครดิตจะลงตัว" แซทยาโวลูกล่าว
กฎหมายปฏิรูปบัตรเครดิตฉบับใหม่ของสหรัฐถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือล่าสุดที่สภาคองเกรสมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมบัญชีของบริษัทบัตรเครดิตได้ หลังจากธุรกิจบัตรเครดิตภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์การเงินโลก
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เตือนบริษัทบัตรเดรดิตว่ารัฐบาลจะใช้กฎข้อบังคับฉบับใหม่เพื่อตรวจสอบและปกป้องผู้บริโภคจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ยุติธรรม อีกทั้งเตือนว่าหากบริษัทใดดำเนินการอย่างไม่ถูกต้องก็จะต้องถูกเปรียบเทียบปรับและถูกลงโทษ
โอบามากล่าวในที่ประชุมที่ทำเนียบขาวร่วมกับ 13 ผู้บริหารของบริษัทบัตรเครดิต รวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา และอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (เอเม็กซ์) ว่า บัตรเครดิตเป็นแหล่งเงินที่สำคัญสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจขาดเล็ก จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถปฏิเสธเงื่อนไขด้านอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินความคาดหมาย
บริษัทบัตรเครดิตกำลังถูกกดดันจากนโยบายเอาผิดกับบริษัทที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสูงเกินจริงจากลูกค้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถอดถอยทำให้ประชาชนตกงานจำนวนมาก นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังออกกฎข้อบังคับฉบับใหม่ที่ว่าด้วยการดำเนินการอย่างเข้มงวดกับบริษัทบัตรเครดิต และฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐก็กำลังพิจารณาใช้กฎหมายปกป้องลูกค้าบัตรเครดิตที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประธานสมาคมนายธนาคารแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า โอบามาสื่อสารกับบริษัทบัตรเครดิตชัดเจนมาก และสื่อตรงว่ารัฐบาลต้องการให้บริษัทบัตรเครดิตเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ บลูมเบิร์กรายงาน