ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจไต้หวันช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้มีแนวโน้มหดตัวในระดับที่น้อยลง เนื่องจากการส่งออกไปยังประเทศจีนกระเตื้องขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไต้หวันอาจฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่เผชิญกับภาวะถดถอยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไต้หวันติดลบ 7.8% หลังจากที่ร่วงหนักเป็นประวัติการณ์ 10.24% ในไตรมาสก่อนหน้านี้
นักวิเคราะห์จากดีบีเอส แบงก์ ในสิงคโปร์กล่าวว่า เศรษฐกิจไต้หวันมีภาคการส่งออกเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการขยายตัว และส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจในจีนและประเทศใกล้เคียง ซึ่งเราคาดว่าอุปสงค์จากจีนจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวในภาคการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง
โดยยอดส่งออกของไต้หวันไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดลดลง 21.5% ในเดือนก.ค.จากปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับที่ดิ่งลง 38.1% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ยอดส่งออกโดยรวม ซึ่งมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจตกลง 24.4% ในเดือนก.ค.ซึ่งดีขึ้นจากที่ทรุดหนักถึง 30.4 %ในเดือนมิ.ย.
ขณะเดียวกันดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันทะยานขึ้น 48% ในปีนี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ในแง่บวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ประกอบกับการกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไต้หวันกับจีน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจผ่านพ้นไปแล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลตั้งเป้าใช้จ่ายเงิน 8.58 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไต้หวันใน 4 ปีข้างหน้า ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 6% ของตัวเลขจีดีพี โดยงบประมาณดังกล่าวจะนำไปใช้ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้บริโภค และการลดหย่อนภาษี หลังจากที่ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินนโนบายจ่ายคูปองซื้อสินค้าให้ภาคครัวเรือน 8.29 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ในเวลา 17:00 น.ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมจะรายงานการประเมินผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นมรกตครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปีที่พัดถล่มไต้หวัน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 136 รายและมีผู้สูญหายจากเหตุแผ่นดินถล่ม 386 ราย ซึ่งประธานาธิบดีหม่า อิง-จิว ของไต้หวันคาดว่าพายุลูกนี้จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 นอกเหนือไปจากที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.10 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน รวมถึงความเสียหายทางการเกษตร 1.34 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน