นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากรัฐบาลสามารถผลักดันโครงการผลิตเหล็กต้นน้ำในประเทศได้จะช่วยพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยทั้งระบบให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น การต่อเรือ รถบัสและรถไฟ อุตสาหกรรมอากาศยาน รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน และช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ความเห็นส่วนตัวพร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องมาตรการควบคุมและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องการให้รัฐบาลมีความชัดเจนและหันหน้าทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการสนับสนุนของภาครัฐ
นอกจากนี้ โครงการเหล็กต้นน้ำจะช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น และจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยในปี 51 มูลค่าการจำหน่ายรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศของไทยมีประมาณ 9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10 % ของจีดีพี เป็นการผลิตรถยนต์ทุกชนิดเกือบ 1.4 ล้านคัน จำหน่ายในประเทศ 615,000 คัน และส่งออก 778,000 คัน มีมูลค่าการส่งออกเกือบ 6 แสนล้านบาท ถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับสองของประเทศรองจากผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์
และ การผลิตเหล็กต้นน้ำในประเทศจะช่วยลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ลงอย่างมาก เพราะราคาเหล็กที่ซื้อในประเทศจะมีถูกกว่าการนำเข้าประมาณ 10-15% และการซื้อเหล็กที่ผลิตในประเทศที่ซื้อขายด้วยเงินบาท ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยลดระยะเวลาการสั่งซื้อและรอสินค้า จากที่นำเข้าเหล็กต้องรอประมาณ 3 เดือน จะเหลือเพียง 1 เดือนหากซื้อในประเทศ ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาเหล็ก การเสียภาษี เสียค่าระวาง และค่าประกันภัย
"รถยนต์ 1 คัน จะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบประมาณ 59% ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเหล็กแผ่นมาใช้มากที่สุดถึง 53% อีก 5% เป็นเหล็กทุบ (Forging) และอีก 1% เป็นเหล็กหล่อ (Cast Iron) ซึ่งสามารถแบ่งออกตามการใช้งาน คือ เหล็กรีดร้อนจะนำไปทำช่วงล่าง และตัวโครงของระบบช่วงล่าง ส่วนเหล็กรีดเย็นจะนำไปทำโครงสร้างตัวถังที่ไม่ได้สัมผัสน้ำ และเหล็กเคลือบสังกะสี ใช้สำหรับตัวถังภายนอกที่สัมผัสน้ำ เพื่อมิให้เป็นสนิม" นายนินนาท กล่าว
นายนินนาท กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ยังก่อให้เกิดการจ้างงานสูงถึง 1.2 ล้านคน ทั้งการจ้างงานโดยตรงของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้แทนจำหน่าย รวมประมาณ 6 แสนคน และอีก 6 แสนคนเป็นการจ้างงานทางอ้อมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ยาง เคมีภัณฑ์ เหล็ก การออกแบบภายใน และธุรกิจน้ำมัน เป็นต้น