สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อังกฤษมียอดขาดดุลงบประมาณถึง 8 พันล้านปอนด์ (1.32 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนก.ค. เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีหดตัวลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในส่วนของสวัสดิการสำหรับประชาชนที่ว่างงานทะยานขึ้น
ตัวเลขดังกล่าวนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งอังกฤษมีงบประมาณเกินดุล 5.2 พันล้านปอนด์ และแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือนก.ค.ปีนี้จะอยู่ที่ 500 ล้านปอนด์ โดยครั้งสุดท้ายที่อังกฤษขาดดุลงบประมาณในเดือนก.ค.คือเมื่อปี 2539
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า ในปีหน้า อังกฤษจะขาดดุลงบประมาณสูงสุดในกลุ่มจี20 เมื่อนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ ต้องสู้ศึกเลือกตั้ง โดยบราวน์กำลังเรียกร้องให้ผู้นำประเทศในกลุ่มจี20 เดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นการคลังต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืนกว่านี้ ขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษชี้ว่า การลดค่าใช้จ่ายและการขึ้นภาษีเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อลดหนี้สาธารณะ
ไอเอ็มเอฟประเมินว่า ปีนี้ ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของอังกฤษจะแตะ 11.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นที่ 2 ตามหลังเพียงสหรัฐซึ่งคาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 13.5% ส่วนในปีหน้า ยอดขาดดุลของอังกฤษอาจจะอยู่ที่ 13.3% ของจีดีพี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าของระดับ 7.7% ในปีงบประมาณ 2536-2537 สมัยรัฐบาลของนายจอห์น เมเจอร์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น
บีบีซีรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปีที่อังกฤษขาดดุลงบประมาณในเดือนกรกฎาคม และยังเป็นการขาดดุลมากที่สุดสำหรับเดือนก.ค. เมื่อนับถอยหลังไปถึงปี 2536 เป็นอย่างน้อย โดยปกติแล้ว เดือนก.ค.จะเป็นเดือนที่อังกฤษมีงบประมาณเกินดุล เนื่องจากเดือนก.ค.เป็นเดือนที่ 2 ใน 4 เดือนของปีงบประมาณที่กระทรวงการคลังจะได้เงินจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporate tax) มากที่สุด แต่ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้ในปีนี้รายได้จากการจัดเก็บภาษีหดตัวลง ขณะที่ตัวเลขว่างงานที่ทะยานขึ้นทำให้รัฐบาลมีภาระมากขึ้นในการนำเงินไปใช้จ่ายเป็นสวัสดิการสำหรับผู้ที่ตกงาน