นักเศรษฐศาสตร์จีนแนะให้ธนาคารกลางจีนชะลอการเทขายเงินหยวน ที่อาจเป็นเหตุให้ค่าเงินลอยตัวขึ้นได้ในอนาคต ในขณะที่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศ
ยู หยงติง อดีตคณะกรรมการกำกับนโนบายการเงินของธนาคารกลางจีนแสดงความเห็นว่า ธนาคารกลางต้องลดบทบาทการแทรกแซงในตลาดปริวรรตเงินตรา เพราะท้ายที่สุดแล้วเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินที่ทั่วโลกต้องการใช้เป็นทุนสำรอง แต่ขณะนี้เรายังห่างไกลจุดนั้นอยู่มาก ซึ่งตนมองว่ากว่าที่เงินหยวนจะได้รับการยอมรับให้เป็นสกุลเงินสากลในตลาดโลกจะต้องใช้เวลาอีก 5 ปี
ขณะเดียวกัน ยูกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นการลงทุนในตลาดต่างประเทศควบคู่กับการลดยอดส่งออก และหันไปเพิ่มยอดขายตราสารหนี้ในรูปสกุลเงินหยวนของบริษัทต่างชาติ พร้อมทั้งลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
บลูมเบิร์กรายงานว่า ทุนสำรองเงินต่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้น 9.1% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งไต่ระดับขึ้นสูงสุดแตะ 1.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ณ วันที่ 30 มิ.ย. จีนมีทุนสำรองเงินต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยขณะนี้จีนมีพันธบัตรสหรัฐในครอบครองเป็นมูลค่า 7.764 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 45% จากระดับในปีที่แล้ว ซึ่งยูกล่าวว่ามูลค่าพันธบัตรดังกล่าวจัดว่ามีความเสี่ยงและน่าเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็มองว่า การแก้ปัญหาของจีนไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
ทั้งนี้ จีนได้เดินหน้าเพิ่มการซื้อพันธบัตรและเทขายเงินหยวนออกไปเพื่อควบคุมค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 6.83 ต่อดอลลาร์ตั้งแต่เดือนก.ค.2551 ขณะเดียวกันธนาคารกลางได้กล่าวย้ำถึงเป้าหมายในการควบคุมเสถียรภาพของค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม