เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในที่ประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง ว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ "ระยะฟื้นตัว" แล้ว และคาดว่าจะกลับมาขยาตัวได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ หลังจากเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงและถูกกระทบหนักสุดจากวิกฤตการณ์การเงิน
"กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้ หลังจากเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงในปีที่แล้ว นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดไปแล้ว ซึ่งนับจากนี้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว" เบอร์นันเก้กล่าว
อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ได้แสดงความกังวลว่าอัตราการปล่อยกู้ในภาคธนาคารอาจจะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะสร้างความยากลำบากให้กับภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องการกู้เงิน สถานการณ์ดังกล่าวอาจขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอาจทำให้ตัวเลขว่างงานพุ่งสูงขึ้นอีก พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลใช้นโยบายกระตุ้นการไหลเวียนของสินเชื่อเพื่อให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความคล่องตัวมากขึ้น
"แม้เราสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่รุนแรงที่สุดไปได้ แต่ยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รอเราอยู่ข้างหน้า สหรัฐและทั่วโลกต้องร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน หากยังปล่อยให้ภาวะตึงตัวเกิดขึ้นในตลาดการเงินโลกต่อไป สถาบันการเงินก็ต้องขาดทุนและประชาชนก็เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่บั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งสิ้น" เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมประจำปีของเฟด
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้อัตราการว่างงานประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐร่วงลงแตะระดับ 9.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือน แต่อัตราว่างงานที่ยืนอยู่เหนือระดับ 9% เช่นนี้ยังคงเป็นสัญญาณในด้านลบ นอกจากนี้ อัตราการลงทุนที่หดตัวลงในภาคธุรกิจและการที่ภาคครัวเรือนลดการใช้จ่าย ยิ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลและเฟดต้องร่วมมือกันในการกระตุ้นการไหลเวียนของเงินกู้ โดยเฉพาะเมื่อดูจากยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ที่ลดลง 0.1% สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอัตราว่างงานที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐและเฟดไม่ได้เข้าแทรกแซงเศรษฐกิจด้วยการใช้มาตรการฟื้นฟูและลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งใช้มาตรการอีกหลายด้าน ก็อาจทำให้ตลาดตกอยู่ใสภาวะตื่นตระหนกและทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งตกอยู่ในความเสี่ยง ทั้งนี้ ในช่วงท้าย เบอร์นันเก้เรียกร้องให้สภาคองเกรสสหรัฐทบทวนกฎหมายด้านการเงินและใช้มาตรการควบคุมบริษัทเอกชนให้เข้มงวดมากขึ้น หลังจากการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และวิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นกับบริษัท เอไอจี ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินทั้งระบบ
บลูมเบิร์กรายงานว่า การที่เบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้วนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 100 จุด และยังหนุนสัญญาน้ำมันดิบและสัญญาทองคำพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ด้วย ทั้งนี้ แม้เบอร์นันเก้แสดงความกังวลเรื่องอัตราการปล่อยกู้ในภาคธนาคาร แต่นักลงทุนมองว่าโดยภาพรวมแล้ว เบอร์นันเก้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐ