นายอู๋ เหว่ยหมิน รมว.แรงงานและสวัสดิการสังคมของจีนกล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ในวันนี้ว่า แม้เศรษฐกิจจีนขยายตัวตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 8% ในปีนี้ แต่จำนวนคนว่างงานในประเทศยังคงมีอยู่มากถึง 12 ล้านคน เนื่องจากช่องว่างระหว่างดีมานด์และซัพพลายในตลาดแรงงานปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลไม่สามารถจัดหางานป้อนให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอ
นายเหว่ยหมินยอมรับว่า ปัญหาด้านแรงงานกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล แม้ก่อนหน้านี้รัฐบาลแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อและกระตุ้นการส่งออก อีกทั้งจะกระตุ้นการจ้างงานและช่วยพยุงเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 8% ในปีนี้ได้ก็ตาม
ด้านนายหวัง หยาตง รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมแรงงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของจีนกล่าวว่า อัตราว่างงานของจีนยังอยู่ในระดับวิกฤติ เนื่องจากมีประชาชนตกงานหลายล้านคนซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้อัตราว่างงานในประเทศพุ่งขึ้นอีก แม้เศรษฐกิจของจีนเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม
"รัฐบาลจีนพยายามสร้างงานรองรับประชาชนจำนวนมากที่ตกงาน แต่ตลาดแรงงานของจีนยังเข้าขั้นวิกฤต เรากำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันเรื่องบริการจัดหางานให้กับประชาชน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต แม้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัว 7.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ 6.1% ก็ตาม" นายหยาตงกล่าว
ที่ผ่านมานั้น ทางการจีนเชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาอัตราว่างงานให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 4.5% ในปีนี้ โดยรัฐบาลจะพุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นการจ้างงานในบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทของรัฐ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จีนหลายคนกังวลว่าการที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ อาจขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และผลที่ตามมาก็คืออัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น
สำนักงานพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง 8.5% ในไตรมาส 3 หลังจากทางการจีนใช้นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน หรือ 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่ารัฐบาลจีนจะควบคุมอัตราการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์เพื่อยับยั้งภาวะฟองสบู่ ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นจีน และฉุดดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตดิ่งลงไปแล้ว 16% บลูมเบิร์กรายงาน