ท็อด สเติร์น ทูตพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐชี้ จีนและสหรัฐใกล้จะทำข้อตกลงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งที่ 2 ประเทศเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่สุดในโลก ขณะที่สหรัฐเองก็ไม่เคยให้การรับรองพิธีสารเกียวโตเลย เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวไม่สามารถบีบให้จีนและประเทศพัฒนาอื่นๆให้ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้
บลูมเบิร์กรายงานว่า ทั้ง 2 ประเทศอาจจะได้ข้อสรุปในเรื่องวิธีการควบคุมมลภาวะจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ 40 % จากรถยนต์ โรงงาน และโรงงานผลิตพลังงานของ 2 ประเทศ
เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐได้ให้คำมั่นว่า จะให้ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้ชื่นชมเอ็มโอยูที่จะบอกทิศทางในการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐก่อนที่จะมีการประชุมด้านสภาพภูมิอากาศในกรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการสรุปข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่แทนที่พิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2555
วายโอ เดอ โบเออร์ เลขาธิการด้านอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFC CC) กล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างจีนและสหรัฐจะเป็นตัวชี้ชะตาการประชุมที่โคเปนเฮเกน หากทั้ง 2 ประเทศไม่ให้ความร่วมมือ เราก็คงจะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรตามมา ซึ่งเราคาดว่าทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะผลักดันให้เกิดความคืบหน้าได้
ประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดียไม่ได้ให้การสนับสนุนพิธีสารที่กำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยให้เหตุผลว่า ข้อกำหนดดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากความยากจน
เอลเลียต ดิริงเกอร์ ผู้บริหารของ Pew Center on Global Climate Change กล่าวว่า ประเทศเหล่านี้อาจจะให้ความเห็นชอบข้อตกลง อาทิ เรื่องการปรับปรุงระบบเศรษฐกิจที่อิงการใช้เชื้อเพลิง การยกระดับโรงงานผลิตพลังงาน และติดตั้งกังหันลม
ทางด้านโจนาธาน เพิร์ชชิง ผู้แทนเจรจาของสเติร์น กล่าวว่า จีนกำลังเตรียมความพร้อมที่จะลดภาวะโลกร้อนเพื่อที่จะได้ทำข้อตกลง เราอยากให้จีนมีข้อกำหนดทางกฎหมายดูแลอยู่ด้วย รวมทั้งเรื่องความโปร่งใสเพื่อที่ประเทศต่างๆจะได้เห็นความเป็นไปและประเมินประสิทธิภาพของนโยบายต่างๆของจีน