ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ก.ย.) เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์ หลังจากที่มองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดความเสี่ยง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานจากกระทรวงแรงงานสหรัฐในวันศุกร์ หลังจากภาคเอกชนรายงานว่าตัวเลขจ้างงานในประเทศปรับตัวลดลง
บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลง 0.32% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4265 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่1.4219 ยูโร/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.76% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 92.160 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 92.870 เยน/ดอลลาร์
นอกจากนี้ ดอลลาร์อ่อนตัวลง 0.51% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0602 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0656 ฟรังค์/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลง 0.69% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.6268 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6156 ปอนด์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.93% แตะที่ 0.8339 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8262 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 0.30% แตะที่ 0.6727 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6747 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงหลังจากภาคเอกชนรายงานว่าตัวเลขจ้างงานปรับตัวไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ โดย ADP Employer Services ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนรายงานว่า เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานทั่วสหรัฐลดลง 298,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. น้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนก.ค.ที่ร่วงลง 360,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพการผลิตนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้เดิมในไตรมาส 2 โดยเพิ่มขึ้น 6.6% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 6.4% และเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2545 ขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 0.3%
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานประจำเดือนส.ค.ของสหรัฐจะลดลง 230,000 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงน้อยที่สุดในรอบ 1 ปี และยังจับตาดูตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.ซึ่งจะมีการเปิดเผยในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย
ธนาคารกลางยุโรปจะจัดประชุมในเย็นวันพฤหัสบตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารอังกฤษซึ่งยืนอยู่ที่ระดับ 0.5% และสูงกว่าดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐซึ่งอยู่ที่ระดับ 0-0.25%