นายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย(ทีทีอาร์) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับรองประธานธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) ประจำสำนักงานใหญ่ ฟิลิปปินส์ พร้อมคณะว่า เอดีบีอยู่ระหว่างเดินสายไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชีย เพื่อยืนยันว่าเอดีบีจะเปลี่ยนบทบาทการให้ความช่วยเหลือทางการเงินใหม่โดยเน้นให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมากขึ้น
รวมทั้งจะออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือเอกชน โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 52 จะปล่อยกู้ให้กับเอกชนทั่วเอเชียเพิ่มเป็น 1,000 ล้านดอลลาร์ จากที่ปล่อยอยู่ 150 ล้านดอลลาร์ และภายในปี 63 ตั้งเป้าหมายปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนให้ได้ 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด
นอกจากนี้เอดีบี ยืนยันว่าไทยยังมีศักยภาพในภูมิภาคนี้มากโดยเฉพาะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว จึงให้ความสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเพื่อลงทุนในโครงการไทยเข้มแข็งในรูปแบบของโครงการร่วมทุนหรือ PPP ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือกับเอกชนที่สนใจทุกรายด้วย ทั้งนี้ในฐานะของประธานทีทีอาร์ ได้เสนอให้เอดีบีเร่งให้ความช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง(GMS) เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนให้กับไทยและกลุ่มประเทศ GMS ทั้งการค้ำประกันเรื่องความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน การค้ำประกันในหนังสือสัญญาซื้อขายหรือแอลซี หลายธนาคารไม่กล้าเปิดแอลซี โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เอกชนที่เอดีบีต้องเข้าไปเพิ่มบทบาทให้มากขึ้น
"ที่ผ่านมายังน้อยเกินไป ทั้งที่เอกชนจำนวนมากมีคำสั่งซื้อสินค้าหรือออร์เดอร์เข้ามามาก แต่ไม่มีธนาคารช่วยค้ำประกันการเปิดแอลซี รวมทั้งหาเครื่องมือมาช่วยรับประกันภัยให้กับรถขนส่งสินค้าที่ปัจจุบันหากมีการค้าข้ามไปยังประเทศที่ 3 ต้องเสียค่าประกันภัยมากถึง 3 ต่อ หากเอดีบีให้ความสำคัญและเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจัง จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการและสามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง" นายเกียรติ กล่าว