นายสรยุทธ์ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งร่างประกาศกฎกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการพิจารณาอนุญาตให้โครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่อาจก่อผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทางด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรและสุขภาพ 8 อุตสาหกรรมที่อยู่ในข่ายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบถ้อยคำให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมายและแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศแล้ว โดยคาดว่าจะมีการลงนามและประกาศในกฎกระทรวงได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์
สำหรับ 8 อุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชน ประกอบด้วย อุตสาหกรรมเหมืองใต้ดินทุกขนาด เหมืองแร่ตะกั่ว สังกะสีและแมงกานีสทุกขนาด การถลุงแร่ด้วยสารละลายเคมีในชั้นดินทุกขนาด และการถลุงเหล็กที่มีกำลังการผลิตวันละ 5,000 ตันขึ้นไป หรือขยายกำลังการผลิต 35% แล้วมีกำลังการผลิตรวมวันละ 5,000 ตันขึ้นไป อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นกลางที่มีกำลังการผลิตวันละ 1,000 ตันขึ้นไป หรือขยายกำลังการผลิต 35% แล้วมีกำลังการผลิตรวมวันละ 1,000 ตันขึ้นไป
นิคมอุตสาหกรรมตาม พ.ร.บ.การนิคมอุตสาหกรรมฯ ที่มีโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้น ขั้นกลางและโรงถลุงเหล็ก โรงงานฝังกลบของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมเตาเผาชิ้นส่วนเพื่อจำกัดของเสียจากอุตสาหกรรมทุกขนาด โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่นถ่านหิน ขนาด 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป และโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือเชื้อเพลิงอื่นที่มีขนาด 500 เมกะวัตต์ ขึ้นไป และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทุกขนาด
สำหรับ อุตสาหกรรมที่ไม่อยู่ในประกาศดังกล่าวก็อาจต้องมีการขอให้ดูแลสิ่งแวดล้อมเพิ่มอีกเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ม.67 อีกด้วย
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยภาคเอกชน และทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องพร้อมสนับสนุนประกาศดังกล่าว สำหรับโครงการที่รอเดินหน้าโครงการและผ่านการจัดทำแผนผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA แล้วมีมูลค่ารวม 300,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ก่อสร้างแล้วรอเปิดดำเนินการมีมูลค่า 100,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สาธารณูปโภค และการผลิตไฟฟ้า อีกจำนวนมาก