ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 ก.ย.) หลังจากที่สหรัฐเผยอัตราว่างงานประจำเดือนส.ค.ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี
ณ เวลา 16.19 น.ตามเวลา EDT เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.35% เมื่อเทียบกับยูโร โดยเงินยูโรแข็งค่าแตะระดับ 1.4302 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุฤหัสบดีที่ 1.4252 ยูโร/ดอลลาร์ แต่เงินดอลลาร์พุ่งขึ้น 0.41% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 93.000 ดอลลาร์/เยน จากระดับ 92.620 ดอลลาร์/เยน
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.12% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0605 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0618 ฟรังค์/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลง 0.39% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ 1.6394 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6331ปอนด์/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.32% แตะที่ 0.8513 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8402 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.46% แตะที่ 0.6875 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6776 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.ปรับตัวลง 216,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าที่ร่วงลง 276,000 ในเดือนก.ค. แต่อัตราว่างงานถีบตัวขึ้น 0.3% ไปอยู่ที่ 9.7% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 26 ปี และนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานจะพุ่งขึ้นถึงระดับ 10% ในช่วงต้นปีหน้า
แดน คุ๊ก นักวิเคราะห์จากไอจี มาร์เกตส์กล่าวว่า "เงินดอลลาร์ร่วงลงในวันนี้ เพราะปัจจัยลบจากสถานการณ์ด้านการจ้างงานที่ยังย่ำแย่ ซึ่งภาวะดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์และเงินเยนอย่างต่อเนื่อง แต่สกุลเงินทั้งสองจะได้รับแรงซื้อก็ต่อเมื่อเทรดเดอร์ต้องการปลีกตัวออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงในช่วงที่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่เลวร้าย ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต้องการถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยงมากขึ้น
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1% พร้อมทั้งชี้ให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซน นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยของยุโรปยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และสกุลเงินในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าจะเป็นที่สนใจของนักลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทนมากกว่าสกุลเงินในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ