นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะโยกเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาทที่เตรียมกู้เพื่อชดเชยเงินคงคลังไปสมทบใช้ในโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หลังจากความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคลังลดลงเหลือเพียง 1 แสนล้านบาท จากที่คาดการณ์ไว้ 2 แสนล้านบาท
การกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลัง อยู่ภายใต้การกู้เงิน 4 แสนล้านบาทตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การปรับรูปแบบการใช้วงเงินดังกล่าวจะทำให้การกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท จะเป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลังเหลือ 1 แสนล้านบาท และกู้เงินเพื่อการลงทุน 3 แสนล้านบาท คาดว่าภายในปี 53 หน่วยงานต่างๆ น่าจะเบิกจ่ายเงินลงทุนได้ 85-90%
สำหรับวงเงิน 1 แสนล้านบาทดังกล่าวจะนำมาเป็นวงเงินสำรองในโครงการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร โครงการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัดในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในโครงการบ้านมั่นคง และโครงการสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
"เร็วๆ นี้จะมีการสรุปรายละเอียดที่จะเพิ่มเงินลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งอีก 1 แสนล้านบาท จากวงเงินเดิมที่ใช้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ ตาม พ.ร.ก.กู้เงินฯ ซึ่งเดิมเงินลงทุนปี 53 วงเงิน 2 แสนล้านบาท คาดว่าจะทำให้จีดีพีโตขึ้น 2% แต่เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท ก็ทำให้จีดีพีโตขึ้นอีก"นายกรณ์ กล่าวว่า
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ในวันที่ 9 ก.ย.52 จะมีการติดตามความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังจากได้เปิดโครงการสินเชื่อ Fast track วงเงิน 9 แสนล้านบาท เพื่อประเมินภาพรวมการปล่อยสินเชื่อ ข้อเท็จจริง ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล