นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า กรมทางหลวงจะมีการเซ็นสัญญางานจ้างบำรุงทางหลวงภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 52 จำนวน 12,500 ล้านบาท แบ่งเป็นงานบำรุงรักษาทางหลวง 10,500 ล้านบาท งานบำรุงถนนผ่านชุมชนและถนนในแหล่งท่องเที่ยว 1,500 ล้านบาท และงานอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย 500 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ กรมทางหลวงได้เซ็นสัญญางานจ้างบำรุงทางหลวงในส่วนของโครงการที่มีความพร้อมทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 จำนวน 462 โครงการ วงเงินประมาณ 6,120 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 335 โครงการ วงเงินประมาณ 3,932 ล้านบาทจะทยอยลงนามสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ และจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 4-6 เดือน
ส่วนการกระจายงานนั้นจะพิจารณาจากความเสียหายของถนนทางหลวง ซึ่งปัจจุบันมีถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงประมาณ 5.3 หมื่นกิโลเมตรทั่วประเทศ จำนวนประชากร และความต้องการของประชาชน โดยเฉลี่ยพบว่าแต่ละจังหวัดได้รับการจัดสรรงบประมาณใกล้เคียงกัน
"หลังจากลงนามสัญญาในเดือนกันยายนนี้แล้ว ผู้รับเหมาก่อสร้างก็จะจัดส่งรายละเอียดแผนงานมาให้กรมฯ พิจารณา และจะเบิกจ่ายเงินงวดแรกประมาณ 15% ของมูลค่าโครงการ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,875 ล้านบาท ภายในเดือนตุลาฯ ซึ่งจะเริ่มมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที และเมื่อดำเนินการก่อสร้างไประยะหนึ่งก็จะสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้อีก 1 งวด และจะเบิกงวดสุดท้ายสำหรับโครงการที่มีอายุการจ้างงาน 4 เดือนภายในเดือนพฤศิกายน-ธันวาคมนี้ ซึ่งผมมั่นใจว่าการเบิกจ่ายงบประมาณจะเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้" นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับโครงการที่เซ็นสัญญาจ้างดังกล่าว พบว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ไม่สนใจเข้าร่วมงาน อาจเป็นเพราะมูลค่าโครงการไม่สูงมากประมาณ 30-40 ล้านบาท โดยบริษัทที่เข้าร่วมจะเป็นบริษัทขนาดกลางและเล็กซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีโครงการ ประกอบกับงานบำรุงทางหลวง เป็นงานที่ไม่ยุ่งยาก สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.งานบำรุงปกติ ปะหลุมขนาดเล็ก ติดตั้งป้ายจราจร ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกิโลเมตรละ 3 หมื่นบาท 2.งานบำรุงตามเวลา เป็นการฉาบผิวถนนเพื่อป้องกันถนนชำรุด ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกิโลเมตรละ 2-3 ล้านบาท และ 3.งานบำรุงพิเศษรื้อผิวถนนและปรับปรุงผิวถนนใหม่ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกิโลเมตรละ 4-5 ล้านบาท