ดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆของโลก ปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งถือว่าต่อเนื่องยาวนานสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่าผลผลิตโรงงานและอัตราการปล่อยสินเชื่อในจีนปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ ส่งผลให้สินทรัพย์ของประเทศตลาดเกิดใหม่เป็นที่ต้องการของนักลงทุน
เงินยูโรแข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนเมื่อเทียบเงินดอลลาร์หลังมีสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปเริ่มบรรเทาเบาบางลง ด้านเงินปอนด์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบเงินดอลลาร์ก่อนที่อังกฤษจะเผยดัชนีราคาผู้ผลิต ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่เงินเยนแข็งค่าเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันเมื่อเทียบเงินยูโร จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าบริษัทส่งออกของญี่ปุ่นจะนำรายได้เข้าประเทศมากขึ้นช่วงก่อนสิ้นสุดไตรมาส 3
"ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสจากจีนแสดงให้เห็นว่ารากฐานทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง" โคจิ ฟุคายะ นักยุทธศาสตร์การเงินระดับอาวุโสจากดอยช์ แบงค์ เอจี ในโตเกียว กล่าว "นักลงทุนเริ่มกลับมาสนใจสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอีกครั้งแล้ว"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนีดอลลาร์ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์เมื่อเทียบอีก 6 สกุลเงินหลัก ปรับตัวลดลงแตะ 76.591 จุด ณ เวลา 7:07 น.ตามเวลาลอนดอน จากระดับ 76.817 จุดในนิวยอร์ก โดยก่อนหน้านี้ดัชนีดังกล่าวได้ร่วงแตะ 76.548 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2551
ด้านเงินยูโรแข็งค่าแตะ 1.4616 ดอลลาร์/ยูโร จาก 1.4582 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ก่อนหน้านี้แข็งค่าแตะ 1.4627 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคมปีที่แล้ว ส่วนเงินเยนแข็งค่าแตะ 133.19 เยน/ยูโร จากระดับ 133.76 เยน/ยูโร และแข็งค่าแตะ 91.15 เยน/ดอลลาร์ จาก 91.73 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ก่อนหน้าแข็งค่าแตะ 91.00 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์
ทั้งนี้ เงินปอนด์แข็งค่าแตะ 1.6730 ดอลลาร์/ปอนด์ จาก 1.6651 ดอลลาร์/ปอนด์เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม