รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ส.ค.52)มียอดรวม 693 ราย ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 799 ราย ขณะที่เงินลงทุน 246,100 ล้านบาท ลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีเงินลงทุน 282,800 ล้านบาท
ด้านเงินทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 48,100 ล้านบาท ลดลงจาก 58,100 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุนจดทะเบียนต่างชาติลดมาที่ 13,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 34,400 ล้านบาท แต่ทุนจดทะเบียนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 35,100 ล้านบาท จาก 23,700 ล้านบาท ขณะที่การจ้างงานลดลงถึง 50% โดยในช่วง ม.ค.-ส.ค.52 เหลือเพียง 58,997 คน จาก 118,467 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับประเทศที่ยื่นขอรับโครงการลงทุนสูงสุด คือ ญี่ปุ่น 148 ราย รองลงมาเป็น ยุโรป, อเมริกา, สิงคโปร์, ไต้หวัน และฮ่องกง
ประเภทธุรกิจที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค 246 โครงการ รองลงมา คือ ธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจด้านเกษตรกรรมและผลผลิตจากการเกษตร แต่หากพิจารณาจากมูลค่าเงินลงทุนแล้ว พบว่า ธุรกิจบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุนสูงสุด 167,00 ล้านบาท รองลงมา คือ ธุรกิจด้านเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร และธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้า
ส่วนยอดอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ มีทั้งสิ้น 591 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 725 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 126,600 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 16,800 ล้านบาท