ตลาดพันธบัตรเคลื่อนไหวคึกคักขึ้น ขณะที่นักลงทุนหวั่นวิตกว่า การใช้นโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก
โดยบรรยากาศการซื้อขายในตลาดพันธบัตรฟื้นตัวต่อเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ายางรถยนต์จากประเทศจีน ขณะที่จีนดำเนินการตรวจสอบการเรียกเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่และรถยนต์ของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั้นปรับตัวลดลง เนื่องจากเทรดเดอร์คาดการณ์ว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยจากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ในที่ประชุมสัปดาห์นี้
ชูเฮ โมชิซุกิ นักวิเคราะห์จากบริษัทซูมิโตโม่ ไลฟ์ อินชัวเรนช์ โค กล่าวว่า "ผมมองว่าตลาดพันธบัตรเริ่มมีความคึกคักอยู่บ้าง แต่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังทรงตัวที่ระดับต่ำต่อไปถึงปีหน้า"
บลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 06:31 น.ตามเวลาลอนดอน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 2 ปีปรับตัวลดลงสู่ระดับ 0.89% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 3.33%
ดัชนี MSCI’s Asia Pacific Index ซึ่งชี้วัดความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง 1.6% ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเกิดความต้องการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่ปลอดความเสี่ยง ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าสู่ระดับ 1.4541 ยูโร/ดอลลาร์จากระดับ 1.4571 ยูโร/ดอลลาร์
ด้านเกร็ก กิบบ์ส นักวิเคราะห์จากซิดนีย์ โรยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ กรุ๊ปกล่าวว่า "เงินดอลลาร์อาจดีดตัวกลับขึ้นมาด้วยเช่นกันท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจทำให้เม็ดเงินไหลทะลักไปยังตลาดหุ้นสหรัฐ"
ทั้งนี้ วิกฤตการเงินโลกที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลงเมื่อปี 2550 นั้น ได้ส่งผลให้ธนาคารรวมถึงสถาบันการเงินปรับลดมูลค่าทางบัญชีจากกรณีที่ประสบภาวะขาดทุนในตลาดสินทรัพย์ อีกทั้งสร้างแรงกดดันให้เศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2