นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสด ในเดือน ส.ค. 52 รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 40,388 ล้านบาท จากการที่รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 101,774 ล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 142,162 ล้านบาท และเมื่อรวมดุลเงินนอกงบประมาณ ที่เกินดุล 23,471 ล้านบาท และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ อีก 9,000 ล้านบาทให้ รัฐบาลขาดดุลเงินสด 7,917 ล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน ส.ค.52 อยู่ที่ 271,070 ล้านบาท
ส่วนฐานะการคลังของรัฐบาลช่วง 11 เดือนปีงบประมาณ 52 (ต.ค.51-ส.ค.52) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 1,229,618 ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายงบประมาณ 1,720,247 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 490,629 ล้านบาท และเมื่อรวมดุลเงินนอกงบประมาณที่เกินดุล 95,608 ล้านบาท จากการออกพันธบัตรตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจจำนวน 50,000 ล้านบาทเพื่อสมทบเงินคงคลัง และได้รับรายได้จากการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 46,680 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดก่อนการกู้เงิน 395,021 ล้านบาท
ทั้งนี้ รัฐบาลได้บริหารเงินสดให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงิน รวมทั้งสร้างความมั่นคงของฐานะการคลัง จึงได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลดังกล่าวด้วยการออกพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังรวม 437,030 ล้านบาท ส่งผลให้ดุลเงินสดเกินดุล 42,009 ล้านบาท
"รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 395,021 ล้านบาท คิดเป็น 4.5% ของ GDP สะท้อนถึงบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ภาคเอกชนชะลอการใช้จ่าย ขณะที่เงินคงคลังที่ 271,070 ล้านบาท เป็นระดับที่มีความมั่นคงต่อฐานะการคลังของรัฐบาล" นายเอกนิติ กล่าว