ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วันในคืนวันพุธที่ 23 ก.ย.ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% หลังจากรายงานล่าสุดของเฟดระบุว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคส่วนใหญ่ของสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพ
"เฟดเกือบทั้ง 12 สาขารายงานตรงกันว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ 'มีเสถียรภาพ' และบางสาขาระบุว่าเศรษฐกิจ 'ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด' ยกเว้นเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ที่กล่าวว่า เศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ถึงกระนั้นก็ตาม เฟดทั้ง 12 สาขาระบุว่าเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคมีแนวโน้มขยายตัว" รายงาน Beige Book ของเฟดระบุ
Beige Book เป็นรายงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดในการประชุมครั้งต่อไป ซึ่งการประชุมครั้งล่าสุดมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 ก.ย.นี้ โดยเฟดจะเปิดเผยรายงาน Beige Book ปีละ 8 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์บางรายที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดอาจพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3%
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.6% แตะที่ 102.5 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 และเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยดัชนีชี้นำเศษฐกิจเป็นดัชนีชี้วัดมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า
นักวิเคราะห์ของคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ระบุว่า การฟื้นตัวขึ้นของตลาดหุ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และตัวเลขการสร้างบ้านของสหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีมากขึ้นเมื่อนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความเชื่อมั่นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 ของสหรัฐจะสิ้นสุดลง