นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า การใช้มาตรการลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจควรจะใช้เป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงสั้น ๆ ไม่ควรขยายเวลาให้มากเกินไป โดยจะต้องพิจารณาถึงฐานะการคลังของรัฐบาล โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 53 ที่ยังต้องมีการขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 53 การใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่จะเน้นหนักไปที่โครงการลงทุนมากกว่า ขณะที่มาตรการภาษีนั้น ควรนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด ไม่สามารถนำมาใช้ในภาพกว้างได้
"นโยบายขาดดุลงบประมาณจะใช้โดยการลดภาษีหรือเพิ่มรายจ่าย ซึ่งปีงบประมาณ 53 จะเน้นการใช้จ่ายมากกว่า แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าในเชิงนโยบายจะมีการต่ออายุมาตรการภาษีหรือไม่"นายเอกนิติ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ระบุว่า หากเศรษฐกิจไทยปี 53 ยังไม่ฟื้นตัว กระทรวงการคลังก็อาจจะต้องต่ออายุมาตราการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุด 28 มี.ค.53 ซึ่งประกอบด้วย การลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ลดค่าธรรมเนียมจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% และ ลดภาษีธุรกิจเฉพาะจาก 3.3% เหลือ 0.11%
นายเอกนิติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับทราบนโยบายเกี่ยวกับการขยายเวลามาตรการภาษีกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค.53 แต่ช่วงที่ผ่านมาก็พบว่าผลของมาตรการภาษีดังกล่าว ช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในภาคการผลิตและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ไตรมาส 2/52 ภาคการก่อสร้างขยายตัว 2.5% เมื่อเทียบไตรมาส 1/52 ที่ติดลบ 3.4%
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีมาตรการกระตุ้นสำคัญคือแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งวงเงิน 3 แสนล้านบาทที่จะนำมาลงทุนและใช้จ่ายในปีงบประมาณ 53 คาดว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาเติบโตได้ในระดับ 4.1% หากสามารถเบิกจ่ายได้ครบ 100% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 2.5% แต่หากมีการเบิกจ่ายในระดับ 50% ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพียง 3.3%
"ปี 53 หากไม่มีโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง คาดว่าเศรษฐกิจจะเป็นบวก 2.5% แต่เมื่อมีโครงการไทยเข้มแข็งและเบิกจ่ายได้เต็มที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเป็น 4.1%" นายเอกนิติ กล่าว