นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมไทยในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)จัดหาพื้นที่อุตสาหกรรมที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ดหรืออีสเทิร์นซีบอร์ด โดยกำหนดโซนนิ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมให้ชัดเจน
เนื่องจากการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมจะต้องพิจารณาถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทั้งการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)และผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA) รวมถึงแรงต่อต้านของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าผลการศึกษาเรื่องโซนนิ่งจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 52
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาว่าการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมนั้นๆ จะส่งผลดีต่อประเทศไทยเพียงใด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ ต้องดูว่าประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้คุ้มค่าหรือไม่ หากปล่อยให้เกิดการลงทุนแล้วสุขภาพคนไทยแย่ลง และจะกระทบแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะไม่อนุมัตืให้โรงงานเหล็กต้นน้ำเกิดขึ้น แต่จะต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า เพราะในอนาคตแนวโน้มธุรกิจที่ไทยน่าจะได้ประโยชน์ คือการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ
ขณะที่ด้านสินค้าเกษตร รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการจัดทำข้อมูลพื้นฐานเกษตรกรด้วยการขึ้นทะเบียน ซึ่งจะใช้งบประมาณรวม 200-300 ล้านบาท เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาเกษตรกรและการจำหน่ายสินค้าเกษตร
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการไทยเข้มแข็งนี้ รัฐบาลเชื่อมั่นว่าเมื่อเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 1.5 ล้านล้านบาท ภายใน 3 ปี จะมีการสร้างงานตามคาดการณ์ 4-5 แสนตำแหน่ง และเห็นว่าจากที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน 9 เดือน ได้แก้ไขปัญหาถูกทางด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้การว่างงานลดลงจากเดือนม.ค.ที่มีจำนวนการว่างงานถึง 9 แสนคน มาเหลือ 6 แสนคน ซึ่งถือเป็นระดับปกติในปัจจุบัน