รมช.คลัง เสนอที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ขอจัดสรรอัตรากำลังให้กรมสรรพสามิตเพิ่มอีก 500 ตำแหน่ง เพื่อรองรับปริมาณงานที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถช่วยให้สามารถเก็บรายได้เข้ารัฐได้เพิ่มขึ้น
"เรามีภารกิจเพิ่มขึ้นอีกมาก ไม่ใช่แค่ดูเรื่องเหล้าและบุหรี่เถื่อน ขณะที่มีอัตรากำลังคนน้อย ซึ่งหากคิดเฉลี่ยออกมาแล้วข้าราชการกรมสรรพสามิตแต่ละคนจะเก็บรายได้เข้ารัฐเดือนละ 8 พันบาท" นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง กล่าว
ทั้งนี้ รมช.คลัง ได้อ้างเหตุผลในการขอจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มว่า หากเปรียบเทียบการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรที่แต่ละปีสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากรมสรรพสามิตที่สามารถจัดเก็บรายได้แค่ปีละ 3.5 แสนล้านบาท หรือสูงกว่าราว 4 เท่า แต่กรมสรรพากรมีอัตรากำลังมากกว่ากรมสรรพสามิต 8 เท่า และเมื่อพิจารณาถึงการจัดเก็บรายได้แล้ว ข้าราชการกรมสรรพากรแต่ละคนจะเก็บรายได้เข้ารัฐเฉลี่ยปีละ 6 หมื่นบาท ขณะที่ข้าราชการกรมสรรพสามิตแต่ละคนเก็บรายได้เข้ารัฐเฉลี่ยปีละ 8 หมื่นบาท
"เรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเรามีเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะจะช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น บางเรื่องต้องส่งคนไปเฝ้าเป็นสัปดาห์เป็นเดือน และไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการทั้งหมด เป็นพนักงานราชการก็ได้" นพ.พฤฒิชัย กล่าว
สำหรับการบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาน้ำมันเถื่อนนั้น นพ.พฤฒิชัย กล่าวว่า ในปีงบ 53 กรมสรรพสามิตที่เป็นเจ้าภาพได้รับจัดสรรงบประมาณจำนวน 225 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะบูรณาการการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเสริม เช่น ระบบ GPS มาติดตั้งกับรถขนส่งน้ำมัน เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ
"ปัญหาน้ำมันเถื่อนเป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อรายได้รัฐและปกป้องผู้ประกอบการที่ทำธุกิจถูกต้องตามกฎหมาย" นพ.พฤฒิชัย กล่าว
รมช.คลัง กล่าวว่า ในอนาคตหากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจะยิ่งเป็นแรงจูงใจให้มีผู้กระทำความผิดมากขึ้นเนื่องจากได้รับส่วนต่างเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทั้ง 5 หน่วยงานจะประสานความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น
"คงต้องประชุมร่วมกันถี่ขึ้น คงไม่หวังให้หมดไป เพราะยังมีผู้กระทำผิดหลากหลายเหลืออยู่ แต่จะใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นเพื่อให้ช่วยเป็นคนแจ้งเบาะแส" นพ.พฤฒิชัย กล่าว