พอล วอล์คเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) วัย 82 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวให้สัมภาษณ์ทางรายการ PBS’s Charlie Rose ว่า การที่จีนและประเทศอื่นๆในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เข้ามามีอิทธิพลในเวทีโลกมากขึ้นได้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจและความเป็นผู้นำของสหรัฐ
"ผมไม่รู้ว่าเราปรับตัวให้อยู่สภาพนี้ได้อย่างไร ความเห็นของผมก็คือว่าเราไม่สามารถพึ่งพาจีนและประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยตราสารหนี้ที่ถืออยู่ในมือเพียง 3-4 ล้านล้านดอลลาร์ และประเทศกลุ่มนี้จะจับตาดูทุกฝีก้าวไม่ว่าเราจะทำอะไร" วอล์คเกอร์กล่าว
วอล์คเกอร์ยังกล่าวด้วยว่า อัตราว่างงานในสหรัฐที่ยืนอยู่ที่ระดับ 9.7% จะส่งผลให้กระบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะที่อัตราการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ซื้อบ้านของผู้บริโภคที่พุ่งสูงขึ้น จะส่งยิ่งส่งผลให้สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ขาดทุนหนักขึ้น
การประชุมผู้นำกลุ่ม G20 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา ที่เสร็จสิ้นลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ที่ประชุมสนับสนุนให้จีนและประเทศอื่นๆในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เข้าไปมีสิทธิออกเสียงในธนาคารโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมถึงจีนจะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสถาบันระดับโลกแห่งอื่นๆ ในฐานะประเทศที่มีอิทธิพลต่อการขยายตัวของโลก
"การเติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ไม่เพียงแต่กำลังลบเลือนสถานะทางเศรษฐกิจของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานะผู้นำ ภูมิปัญญา และความภาคภูมิใจด้านอื่นๆของสหรัฐด้วย" วอล์คเกอร์กล่าว
บลูมเบิร์กรายงานว่า จีนแซงหน้าเยอรมนีขึ้นเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และคาดว่าจะผงาดขึ้นเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลกในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ จีนยังแซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะนักลงุนต่างชาติที่ถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุด ขณะเดียวกันมีรายงานว่า จีน รัสเซีย บราซิล และอินเดีย ถือครองสินทรัพย์ในระบบทุนสำรองต่างประเทศรวมกันถึงร้อยละ 42 ยกเว้นทองคำ
ส่วน G20 เป็นกลุ่มประเทศที่มีตัวเลขจีดีพีร้อยละ 85 ของจีดีพีโดยรวมทั่วโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ค่าเงินอ่อนแอในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่รัสเซียไปจนถึงประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ 1990