นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันนี้กระทรวงการคลัง ได้รายงานที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ พบว่าดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายด้าน มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบประมาณ 52 ดีขึ้น ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อชดเชยเงินคงคลัง ปีงบประมาณ 52 เพียงแค่ 50,000 ล้านบาท ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังนั้นวงเงินที่เหลือ จะนำไปใช้ต่อยอดโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้รายงานภาวะการว่างงาน พบว่า ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในภาวะทรงตัวและมีทิศทางลดลง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ รัฐบาลจะมีการปรับยุทธศาสตร์การลงทุนมากขึ้น ทั้งด้านขนส่ง การพัฒนาแหล่งน้ำ สาธารณสุข การท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ดังนั้นรัฐบาลมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทย ไตรมาส 4/52 จะกลับมาเป็นบวกได้ตามเป้าหมาย
"พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ที่นำมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณ มีความจำเป็นแค่ 50,000 ล้านบาท...เป็นสัญญาณที่ดี ที่เศรษฐกิจ จะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสสุดท้าย ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การประชุม ครม.เศรษฐกิจ จะเริ่มพิจารณาแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะปานกลางและระยะยาวมากขึ้น ทั้งการขนส่งระบบราง การสื่อสารโทรคมนาคม การปรับปรุงเครือข่ายต่างๆ การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ และการขยายตัวทางอุตสาหกรรม ที่ควรส่งเสริมในพื้นที่ใดบ้าง
สำหรับการพัฒนาสนามบินเพื่อเป็นศูนย์กลางการบิน และธุรกิจการบิน กระทรวงคมนาคมรายงานว่า ยังมีปัญหาด้านเทคนิค และยังมีข้อมูลไม่ตรง ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า ไทยจะมีการพัฒนาสนามบินแห่งเดียว หรือ Single Airport หรือการมีสนามบิน 2 แห่ง โดยมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ศึกษาเรื่องนี้ภายใน 90 วัน ซึ่งจะมีข้อยุติทั้งหมด
"หากให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินเดียว ต้องมีความชัดเจนว่าจะใช้ประโยชน์อะไรบ้าง และหากใช้สองสนามบิน จะทำให้แผนการขยายสนามบินสุวรรณภูมิต้องเลื่อนออกไปด้วย... คมนาคมบอกว่ายังมีปัญหาด้านเทคนิค ทำให้ครม.เศรษฐกิจวันนี้ ยังไม่สามารถตัดสินใจได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจได้หารือถึงแนวทางการศึกษาเกี่ยวกับท่าอากาศยานของไทย ทั้งแนวทางการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง โดยนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาถึงความพร้อม และผลดีผลเสีย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงได้มอบหมายให้ สศช. ศึกษาเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน และให้รายงานความคืบหน้าผลการศึกษาต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจทุกเดือน
ทั้งนี้ที่ประชุมได้หารือกันมากถึงความเป็นไปได้ของการมีสนามบิน 2 แห่ง โดยมองว่าเรื่องระยะทางไม่ใช่ปัญหา และกรมวิทยุการบิน ได้ชี้แจงว่าสามารถบริหารจัดการในการจัดตารางสายการบินได้โดยไม่มีปัญหา
"ในที่ประชุม ได้มีการยกตัวอย่างในต่างประเทศ ที่หลายประเทศ มีสนามบิน 2 แห่ง ก็ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องระยะทางใกล้ไกล ก็สามารถบริหารจัดการได้" นายวัชระ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industry Zone) โดยได้มอบหมายให้ สศช. พิจารณาภาพรวมของทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศว่าจำเป็นต้องมีเขตอุตสาหกรรมส่วนอื่นๆ อีกหรือไม่ หลังจากมีนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเพียงพอหรือไม่ และการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ (Southern Seabord) ควรจะกำหนดเขตอุตสาหกรรมในลักษณะใด หากเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จะต้องให้ได้รับการยอมรับจากชุมชนก่อน